BH บวก 4% ทำนิวไฮในรอบ 1 ปี 3 เดือน โบรกฯ แนะ “ซื้อ” คาดผลประกอบการ Q3 โตต่อเนื่อง
BH บวก 4% ทำนิวไฮในรอบ 1 ปี 3 เดือน ล่าสุด ณ เวลา 10.29 น. ราคาอยู่ที่ 204.00 บาท บวก 7.50 บาท หรือ 3.82% สูงสุดที่ 204.00 บาท ต่ำสุดที่ 199.00 บาท มูลค่าซื้อขายที่ 348.96 ล้านบาท โบรกฯ แนะ “ซื้อ” ชูเป้า 223 บาท คาดผลประกอบการ Q3 โตต่อเนื่อง
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ราคาหุ้นบริษัท โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BH ณ เวลา 10.29 น. ราคาอยู่ที่ 204.00 บาท บวก 7.50 บาท หรือ 3.82% สูงสุดที่ 204.00 บาท ต่ำสุดที่ 199.00 บาท มูลค่าซื้อขายที่ 348.96 ล้านบาท ขณะที่ดัชนีตลาดหุ้นไทยโดยรวมบวก 0.10% โดยราคาหุ้นปรับตัวสูงสุดในรอบ 1 ปี 3 เดือน นับตั้งแต่ราคาหุ้นอยู่ที่ระดับ 204.00 บาท เมื่อวันที่ 9 พฤษภาคม 2559
ด้านบล. เคจีไอ (ประเทศไทย) ระบุในบทวิเคราะห์ แนะนำ “Outperform” ราคาเป้าหมาย 223 บาท/หุ้น โดยผลการดำเนินงานของ BH ในไตรมาส 2/60 ดีขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยมีกำไรสุทธิ 960 ล้านบาท (เพิ่มขึ้น 11.9% จากปีก่อน) แม้ว่าเทศกาลรอมฎอนในปีนี้จะนานขึ้น 5 วัน ซึ่งส่งผลกระทบให้จำนวนผู้ป่วยนอกลดลง 1.7% เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และจำนวนผู้ป่วยในลดลง 1% เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน อย่างไรก็ตาม ผลประกอบการก็ยังดีขึ้นเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากรายได้, EBITDA และกำไรสุทธิเพิ่มขึ้นได้ 1.5%, 9.6% และ 11.9% ตามลำดับ
ทั้งนี้คาดว่าผลการดำเนินงานในไตรมาส 3/60 โดยรวมของบริษัทจะดีขึ้นจากไตรมาสก่อนหน้า หลังจากที่เทศกาลรอมฎอนจบไปในไตรมาส 2 ซึ่งน่าจะมีส่วนช่วยให้จำนวนผู้ป่วยชาวตะวันออกกลางมาใช้บริการของ BH มากขึ้น แต่อย่างไรก็ตาม ไม่คิดว่าโรงพยาบาลระดับ premium อย่าง BH จะพึ่งผู้ป่วยจากตะวันออกกลางมากๆ ได้ในระยะยาว
โดย BH ได้กระจายฐานผู้ป่วยไปยังกลุ่มประเทศ CLMV แทน ซึ่งน่าจะช่วยให้รายได้ดีขึ้น และพอร์ตผู้ป่วยของโรงพยาบาลมีเสถียรภาพมากขึ้น ผู้บริหารได้กล่าวถึงแผนการขยายเครือข่ายโรงพยาบาลว่าในปัจจุบัน BH ได้จับมือกับโรงพยาบาลพันธมิตร 51 แห่ง (โรงพยาบาลที่เป็นโรงเรียนแพทย์ 3 แห่ง, โรงพยาบาลเอกชน 45 แห่ง และ โรงพยาบาลรัฐ 3 แห่ง) ซึ่งน่าจะช่วยสร้าง synergy จากเครือข่ายความร่วมมือโดยทำให้มีการส่งต่อผู้ป่วยที่มี intensity สูงมาที่ BH มากขึ้น
นอกจากนี้ คาดว่ารายได้ของ BH ในปี 2560-2561 จะโต 0.5% และ 3.0% เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ตามลำดับ โดยคาดว่ากำไรสุทธิจะอยู่ที่ 3.99 พันล้านบาท (เพิ่มขึ้น 10% เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน) และ4.48 พันล้านบาท (เพิ่มขึ้น 12% เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน) ตามลำดับ
เนื่องจาก อัตรากำไรที่แข็งแกร่งจากการที่มีผู้ป่วยที่มี intensity สูงจำนวนมาก และคุมค่าใช้จ่าย SG&A ได้ดี นอกจากนี้ สถานะทางการเงินก็ยังแข็งแกร่งโดยมีสถานะเงินสดสุทธิอีกด้วย ส่วนในแง่ของแผนธุรกิจ BH ยังคงเลื่อนแผนการลงทุนใหญ่ๆ ออกไปก่อน อย่างเช่นโครงการขยายโรงพยาบาลบนถนนเพชรบุรีในปีนี้