EA จ่อบุ๊คโรงไฟฟ้าพลังงานลมเต็มอัตรา ดันกำไร Q3 กระฉูด! ชี้เป้าสูง 43 บ. อัพไซต์ทะลัก
EA จ่อบุ๊คโรงไฟฟ้าพลังงานลมเต็มอัตรา ดันกำไร Q3 กระฉูด! เป้าสูง 43 บ. อัพไซต์ทะลัก
นายอมร ทรัพย์ทวีกุล รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พลังงานบริสุทธิ์ จำกัด (มหาชน) หรือ EA เปิดเผยว่า แนวโน้มผลการดำเนินงานงวดไตรมาส 3/60 จะมีโอกาสเติบโตได้เป็นอย่างดี หลังจากในไตรมาสนี้ทางบริษัทจะบุ๊คผลตอบแทนจากธุรกิจไฟฟ้าเข้ามาสูงถึง 404 เมกะวัตต์ (MW) และธุรกิจไบโอดีเซลรับผลบวกจากภาครัฐประกาศใช้น้ำมัน B7
โดยในไตรมาสนี้ผลการดำเนินงานของ EA จะได้รับผลบวกเต็มที่ จากโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลม 126 MW ที่ดำเนินการทยอยผลิตไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ (COD) ไปเมื่อช่วงไตรมาส 2/60 ที่ผ่านมา ดังนั้น งวดไตรมาส 3/60 จึงถือเป็นครั้งแรกที่บริษัทจะบันทึกผลตอบแทนพลังงานลมเต็มไตรมาส ประกอบกับธุรกิจโซลาร์ฟาร์ม 278 MW ยังสร้างผลตอบแทนได้ดี
ขณะที่ธุรกิจไบโอดีเซลจะกลับมาสร้างผลตอบแทนในเกณฑ์ปกติอีกครั้ง หลังจากภาครัฐประกาศใช้น้ำมัน B7 ตั้งแต่ช่วงไตรมาส 2/60 ที่ผ่านมา และมีแนวโน้มที่ภาครัฐจะประกาศใช้น้ำมัน B7 ต่อเนื่อง หลังจากปริมาณสต๊อกปาล์มในตลาดยังคงมีอยู่ระดับสูงพร้อมกับส่งผลดีต่อธุรกิจไบโอดีเซลของ EA
นายอมร กล่าวอีกว่า กรณีผลการดำเนินงานในงวดไตรมาส 2/60 ที่มีกำไรสุทธิ 966 ล้านบาท ปรับลดลงเล็กน้อยจากช่วงปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 992 ล้านบาท เป็นเพราะธุรกิจไบโอดีเซลชะลอตัว เนื่องจากในช่วงต้นไตรมาส 2/60 ภาครัฐยังประกาศใช้น้ำมัน B5 จากนั้นจึงปรับเป็นน้ำมัน B7 ช่วงปลายไตรมาส แตกต่างกับช่วงปีก่อนที่มีการใช้น้ำมัน B7 ทั้งไตรมาส
นอกจากนี้ ในไตรมาส 2/60 ยังเป็นช่วงที่บริษัทเริ่มทยอยดำเนินการโรงไฟฟ้าพลังงานลม 126 MW ทำให้มีต้นดำเนินงานสูงขึ้น แต่ยังทำรายได้ไม่เต็มที่ อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ทุกอย่างในไตรมาส 3/60 จะกลับเข้าสู่ภาวะปกติ เพราะพลังงานลมในปัจจุบันสามารถเดินเครื่องได้มีประสิทธิภาพและธุรกิจไบโอดีเซลรับผลบวกใช้น้ำมัน B7
ดังนั้น ภาพรวมผลการดำเนินงานงวดปี 2560 จะมีโอกาสเติบโตต่อเนื่องจากงวดปี 2559 ที่มีกำไรสุทธิ 3,251 ล้านบาท หลังจากในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2560 ที่ผ่านมา บริษัทมีกำไรสุทธิแล้วถึง 1,945 ล้านบาท และช่วงครึ่งปีหลังภาพรวมธุรกิจไฟฟ้ากับไบโอดีเซลยังเติบโต โดยเฉพาะพลังงานลมที่จะเข้าช่วงไฮซีซั่นตั้งแต่เดือน ต.ค.เป็นต้นไป เนื่องจากเป็นช่วงที่มีกระแสลมแรงมาก
ส่วนแนวโน้มผลการดำเนินงานงวดปี 2561 จะมีโอกาสเติบโตต่อเนื่องเช่นกัน เพราะบันทึกผลตอบแทนธุรกิจผลิตไฟฟ้า 404 MW เต็มทั้งปี และภายในปีหน้าทางบริษัทยังมีแผน COD โรงไฟฟ้าพลังงานลมอีก 260 MW ช่วงประมาณครึ่งปีหลัง จึงสร้างผลตอบแทนเพิ่มเติมให้ EA ได้อีก และเพิ่มกำลังผลิตไฟฟ้าในเป็นระดับ 664 MW
โดยประเมินภายใต้ฐานกำลังผลิตไฟฟ้ารวม 404 MW จะสามารถสร้างกระแสเงินสดให้บริษัทได้ถึงประมาณ 5,000 ล้านบาท แต่หากกำลังผลิตไฟฟ้า COD ได้ครบ 664 MW ตามเป้าหมายที่บริษัทกำหนดไว้จะทำกระแสเงินสดเพิ่มสูงถึงระดับ 7,000 ล้านบาท
ดังนั้น กระแสเงินสดที่ได้มาจะทำให้บริษัทสามารถนำไปต่อยอดขยายธุรกิจตามแผนงานที่กำหนดไว้ เช่น ใช้รองรับการก่อสร้างโรงไฟฟ้าพลังงานลม 260 MW มีมูลค่าลงทุนรวมทั้งโครงการ 20,000 ล้านบาท และสามารถรองรับโอกาสการลงทุนใหม่ๆ ที่จะเกิดขึ้นได้ในอนาคต เช่น โครงการแบตเตอรี่ หรือ โครงการพลังงานทดแทนอื่นๆ
นายอมรกล่าวว่า แผนการลงทุนแบตเตอรี่รองรับการกักเก็บไฟฟ้า (Energy Storage) จะได้เห็นความคืบหน้าที่ชัดเจนในช่วงปี 2561 โดยปัจจุบันอยู่ในขั้นตอนการออกแบบงาน การจัดเตรียมอุปกรณ์ และในเบื้องต้นมองพื้นที่ตั้งโรงงานในพื้นที่โครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (EEC)
โดยการลงทุนจะมีทั้งหมด 2 เฟส ซึ่งเฟสแรกทางบริษัทจะใช้งบลงทุนประมาณ 3,000 ล้านบาท ขนาดกำลังผลิต 1 กิกะวัตต์ชั่วโมง (GWh) ซึ่งถือเป็นโครงการเริ่มต้นดำเนินการจากนั้นแผนระยะยาว คือ การลงทุนโครงการเฟส 2 ที่จะเดินหน้าขยายกำลังผลิตจนครบระดับ 50 Gwh คาดจะใช้เงินลงทุนระดับแสนล้านบาท
ทั้งนี้ บริษัทมั่นใจว่า Energy Storage ถือเป็นธุรกิจที่มีอนาคตเป็นอย่างมาก หลังจากเทรนด์ธุรกิจพลังงานนับจากนี้ไปกำลังเดินหน้าไปสู่การผลิตไฟฟ้าควบคู่การใช้แบตเตอรี่ เพราะ Energy Storage มีศักยภาพสร้างรายได้เพิ่มขึ้นและเพิ่มประสิทธิภาพบริหารจัดการผลิตไฟฟ้า ดังนั้น ความต้องการใช้ Energy Storage จากอุตสาหกรรมโรงไฟฟ้าจะมีสูงขึ้นในอนาคต
ส่วนกรณีมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด (มาร์เก็ตแคป) ของ EA ที่ล่าสุดปรับเพิ่มขึ้นถึงระดับ 1.3 แสนล้านบาทไปแล้ว และในปัจจุบัน EA ยังย้ายมาเทรดอยู่ใน SET รวมถึงอยู่ในดัชนีของ SET50 จะส่งผลดีต่อความเชื่อมั่นจากกลุ่มผู้ลงทุนและสถาบันการเงินในอนาคตมากยิ่งขึ้น
ด้านนักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ธนชาต จำกัด (มหาชน) ระบุว่า ขณะนี้ให้คำแนะนำ “ซื้อ” หุ้น EA กำหนดราคาเป้าหมาย 43 บาท โดยประเมินผลการดำเนินงานจะดีขึ้นในช่วงครึ่งหลังปี 2560 จากวงจรการหมุนเวียนของลม (ก.ค. และ ธ.ค.) ซึ่งจะช่วยหนุนรายได้และกำไรของบริษัท ถึงแม้ค่าใช้จ่ายในการบริหารและการขาย (SG&A) จะเพิ่มขึ้นจากธุรกิจใหม่ก็ตาม
โดยภาพรวมผลการดำเนินงานงวดปี 2560 ประเมินจะมีกำไรสุทธิ 4,613 ล้านบาท ปรับเพิ่มขึ้นจากงวดปี 2559 ที่มีกำไรสุทธิ 3,251 ล้านบาท และงวดปี 2561 คาดจะมีกำไรสุทธิปรับเพิ่มเป็น 5,179 ล้านบาท อีกทั้งบริษัทจะเข้าสู่ช่วงของการทำกำไรใหม่จากการดำเนินงานแผนการลงทุนในธุรกิจกักเก็บพลังงาน ซึ่งจะส่งผลให้บริษัทกลายเป็นผู้ผลิตรายใหญ่ที่สุดของโลกภายในปี 2564 และมีแผนที่จะมีกำลังการผลิตถึงระดับ 50 Gwh