MJD ฟุ้ง H2/60 พลิกมีกำไร หลังทยอยโอน 2 คอนโดฯใหญ่มูลค่า 1 หมื่นลบ.

MJD ฟุ้ง H2/60 พลิกมีกำไรจาก H1/60 หลังทยอยโอน 2 คอนโดฯใหญ่มูลค่า 1 หมื่นลบ. - มองแนวโน้มภาพรวมอสังหาฯครึ่งปีหลังฟื้นตัว หลังผู้ประกอบการส่วนใหญ่เริ่มรุกเปิดโครงการใหม่มากขึ้น


นายสุริยา พูลวรลักษณ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) หรือ MJD เปิดเผยว่า แนวโน้มผลการดำเนินงานในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ของปีนี้คาดว่ามีโอกาสพลิกกลับมามีกำไร จากครึ่งปีแรกที่ขาดทุนสุทธิ 190.55 ล้านบาท โดยในช่วงครึ่งปีหลังจะมีการโอนโครงการคอนโดมิเนียม 2 โครงการใหญ่ในช่วงไตรมาส 4/60 มูลค่าโครงการรวม 1 หมื่นล้านบาท คือ Marque Sukhumvit มูลค่า 6 พันล้านบาท และ M JATUJAK มูลค่า 4 พันล้านบาท

โดยคาดว่าจะทยอยรับรู้รายได้เข้ามาในปีนี้ราว 5 พันล้านบาท ผลักดันรายได้ในปีนี้เป็นมากกว่า 5 พันล้านบาท ซึ่งเป็นเป้าหมายรายได้ทั้งปีนี้ของบริษัท และเชื่อว่าจะหนุนผลการดำเนินงานทั้งปีนี้ให้สามารถทำกำไรสุทธิได้

ทั้งนี้ บริษัทมั่นใจว่าแนวโน้มของการโอนโครงการของลูกค้าที่ซื้อที่อยู่อาศัยของบริษัท จะไม่มีปัญหาเรื่องการปฏิเสธสินเชื่อ เพราะระดับราคาที่บริษัทขายเป็นระดับราคาในกลุ่มลูกค้าระดับกลาง-บน ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีกำลังซื้อ และมีความสามารถในการขอสินเชื่อสถาบันการเงินในระดับสูง ทำให้ปัจจุบันอัตราการปฏิเสธสินเชื่อของลูกค้าที่ซื้อที่อยู่อาศัยของบริษัทในปัจจุบันแทบจะไม่มีการปฏิเสธสินเชื่อเลย และทำให้บริษัทมีความเสี่ยงด้านรายได้น้อย

ส่วนแนวโน้มยอดขายโครงการในช่วงครึ่งหลังปีนี้ ส่วนใหญ่จะเข้ามาในช่วงตั้งแต่เดือนก.ย.เป็นต้นไป ซึ่งมีการทยอยขายโครงการคอนโดมิเนียมใหม่ตามแผนที่จะเปิดปีนี้จำนวน 8 โครงการ มูลค่าโครงการรวมกว่า 1.1 หมื่นล้านบาท ซึ่งจะดันยอดขายปีนี้ให้เป็นไปตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ 1 หมื่นล้านบาท

โดยในช่วงครึ่งปีแรกยังไม่มียอดขายเข้ามา เนื่องจากยังไม่มีการขายโครงการใหม่ แต่จะเริ่มเปิดการขายโครงการใหม่ตั้งแต่ช่วงวันที่ 23-24 ก.ย.นี้ โดยมี 2 โครงการแรกที่เปิดการขาย คือ โครงการมารุ ลาดพร้าว 15 มูลค่า 1.8 พันล้านบาท และโครงการมารุ เอกมัย 2 มูลค่า 2.52 พันล้านบาท ซึ่งบริษัทคาดว่าทั้ง 2 โครงการจะทำยอดขายได้ 50% ภายในปีนี้ ส่วนอีก 6 โครงการคอนโดมิเนียมจะทยอยเปิดการขายในช่วงที่เหลือของปีนี้

นอกจากนี้ บริษัทได้มองถึงความต้องการซื้อที่อยู่อาศัยในประเทศไทยของลูกค้าชาวต่างชาติที่เพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่มลูกค้าชาวสิงคโปร์ ฮ่องกง และจีนที่มาจากเซี่ยงไฮ้ เข้ามาซื้อโครงการคอนโดมิเนียมของบริษัทเพิ่มมากขึ้น ประกอบกับมีเอเจนซี่จากต่างชาติมาซื้อโครงการของบริษัทไปขายต่อให้กับลูกค้าต้างชาติ ซึ่งลูกค้าชาวต่างชาติส่วนใหญ่ที่เข้ามาซื้อโครงการคอนโดมิเนียมในไทยส่วนใหญ่มีความสนใจในทำเลย่านสุขุมวิท

ขณะที่อีกหนึ่งทำเลที่เริ่มได้รับความสนใจ คือ พหลโยธิน-ลาดพร้าว เพราะเป็นทำเลที่มีสิ่งอำนวยความสะดวกที่ครบถ้วนและการเดินทางสะดวก โดยปกติบริษัทจะแบ่งสัดส่วนการขายให้กับลูกค้าชาวต่างชาติในแต่ละโครงการในสัดส่วน 20-30% ซึ่งความต้องการซื้อของลูกค้าชาวต่างชาติเป็นหนึ่งในปัจจัยที่ช่วยผลักดันให้ยอดขายของบริษัทเป็นไปตามเป้าหมาย

ส่วนแนวโน้มภาพรวมอสังหาริมทรัพย์ไนประเทศไทยในช่วงครึ่งปีหลังมองว่าจะเริ่มค่อย ๆ กลับมาฟื้นตัวดีขึ้น หลังจากที่ชะลอตัวไปเมื่อช่วงกลางปี 59-ต้นปี 60 จากภาวะเศรษฐกิจที่ยังชะลอตัว และไม่มีมาตรการกระตุ้นภาคอสังหาริมทรัพย์เข้ามาหนุน ประกอบกับผู้ประกอบการก็ชะลอการเปิดโครงการใหม่ด้วย แต่ในช่วงครึ่งปีหลังจะเห็นแนวโน้มของผู้ประกอบการอสังหาริทรัพย์ส่วนใหญ่เริ่มรุกเปิดโครงการใหม่มากขึ้น ทำให้ตลาดกลับมาคึกคัก และเป็นการกระตุ้นให้เกิดความน่าสนใจในการซื้อ แต่มองว่าตลาดอาจจะเกิดชะลอตัวในช่วงเดือนต.ค.นี้ และจะกลับมาคึกคักอีกครั้งในช่วง 2 เดือนสุดท้าย และต่อเนื่องไปถึงต้นปี 61

แต่อย่างไรก็ตามยังต้องมีความระมัดระวังความเสี่ยงในด้านการปฏิเสธสินเชื่อของสถาบันการเงิน เพราะสถาบันการเงินยังมีความระมัดระวังในการปล่อยสินเชื่อ หลังจากแนวโน้มของหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) ยังเพิ่มขึ้น ซึ่งอาจจะส่งผลต่อความเสี่ยงในแง่ของการโอนของผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์

Back to top button