EPG คาดครึ่งปีหลังกำไรโต รับออร์เดอร์กลุ่มธุรกิจบรรจุภัณฑ์-ราคาขายพุ่ง
EPG คาดครึ่งหลังปี 60/61 กำไรโต รับออร์เดอร์กลุ่มธุรกิจบรรจุภัณฑ์-ราคาขายปรับขึ้น เผยอยู่ระหว่างเจรจาเข้าซื้อกิจการธุรกิจที่เกี่ยวเนื่อง 4-5 ราย
นายเฉลียว วิทูรปกรณ์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อีเทิร์นโพลีเมอร์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ EPG เปิดเผยว่า แนวโน้มผลการดำเนินงานในช่วงครึ่งหลังของงวดปี 60/61 (ต.ค.60-มี.ค.61) คาดว่าจะปรับตัวเพิ่มขึ้นจากครึ่งปีแรก และสูงกว่าช่วงเดียวกันของปี 59/60 ทั้งในแง่ของรายได้และกำไร เนื่องจากทั้ง 3 ธุรกิจหลักของบริษัท ได้แก่ ธุรกิจฉนวนกันความร้อน/เย็น ภายใต้แบรนด์ AEROFLEX, ธุรกิจชิ้นส่วนอุปกรณ์และตกแต่งยานยนต์ภายใต้แบรนด์ AEROKLAS และธุรกิจบรรจุภัณฑ์พลาสติก ภายใต้บริษัท อีสเทิร์น โพลีแพค จำกัด (EPP) มีการเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง จากความต้องการใช้ของลูกค้าในต่างประเทศที่เข้ามามากขึ้น
โดย ปัจจัยที่สนับสนุนการเติบโตของผลการดำเนินงานของบริษัทมาจากภาพรวมของการขยายตัวของเศรษฐกิจโลกที่ฟื้นตัวขึ้น ทำให้การบริโภคสินค้าต่าง ๆ เติบโตขึ้นตามไปด้วย ส่งผลให้ผู้ผลิตสินค้าอุปโภคและบริโภคสั่งซื้อบรรจุภัณฑ์พลาสติกของบริษัทเข้ามาล่วงหน้าเป็นจำนวนมาก ขณะเดียวกันกิจกรรมการเฉลิมฉลองต่าง ๆ ในประเทศคาดว่าจะเริ่มกลับมาคึกคักมากขึ้นตั้งแต่เดือนพ.ยนี้เป็นต้นไป ทำให้แนวโน้มของธุรกิจ EPP ที่เป็นบรรจุภัณฑ์พลาสติกจะมีการเติบโตอย่างโดเด่นในช่วงครึ่งปีหลังของปี 60/61
ขณะเดียวกันในช่วงครึ่งปีหลัง ยังเป็นช่วงไฮซีซั่นของธุรกิจรถยนต์ ซึ่งปัจจุบันมีคำสั่งซื้อชิ้นส่วนอุปกรณ์และตกแต่งรถยนต์ ของแบรนด์ AEROKLAS ล่วงหน้าจากลูกค้าผู้ประกอบการค่ายรถยนต์เข้ามาบ้างแล้วบางส่วน ซึ่งคาดว่าลูกค้าจะค่อย ๆ ทยอยส่งออเดอร์เข้ามามากขึ้น เพื่อเป็นการรองรับความต้องการซื้อรถยนต์ที่จะเพิ่มมากขึ้นในช่วงครึ่งปีหลัง โดยบริษัทได้เพิ่มกำลังการผลิตหลังคาครอบกระบะ (Canopy) เป็น 34,000 ชิ้น/ปี จากเดิมที่ 28,000 ชิ้น/ปี เพื่อรองรับการเติบโต
ส่วนธุรกิจฉนวนกันความร้อน/เย็น AEROFLEX บริษัทได้มีแผนเพิ่มกำลังการผลิตโดยใช้เครื่องจักรอัตโนมัติความเร็วสูงในช่วงปลายปีนี้ เพื่อรองรับตลาดในประเทศจีน ญี่ปุ่น และกลุ่มประเทศในประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) ที่ยังเติบโตย่างต่อเนื่อง และกลุ่มประเทศตะวันออกกลางที่มีแนวโน้มยอดสั่งซื้อกลับเข้ามามากขึ้น หลังจากที่ชะลอการสั่งซื้อไปเมื่อช่วงปีก่อนจนถึงช่วงต้นปีที่ผ่านมา
นอกจากนี้ยังมีปัจจัยที่ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯที่อ่อนค่าและค่าเงินบาทที่แข็งค่า ส่งผลต่อต้นทุนการดำเนินงานของบริษัทเพิ่มขึ้น โดยการแก้ไขปัญหาในเรื่องดังกล่าว บริษัทได้ตัดสินใจทยอยปรับราคาขายสินค้าเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 3-7% ภายในปีนี้ เพื่อสะท้อนต้นทุนดังกล่าว และทำให้การบริหารงานของธุรกิจมีประสิทธิภาพมากขึ้น อีกทั้งบริษัทยังมั่นใจว่ารายได้ในปี 60/61 จะทำได้ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ 1 หมื่นล้านบาท โดยมีสัดส่วนรายได้มาจากธุรกิจฉนวนกันความร้อน/เย็น AEROFLEX สัดส่วน 27-28%, ธุรกิจชิ้นส่วนอุปกรณ์และตกแต่งยานยนต์ภายใต้แบรนด์ AEROKLAS สัดส่วน 50% และธุรกิจบรรจุภัณฑ์พลาสติก EPP สัดส่วน 22-23%
ส่วนแผนการลงทุนอื่น ๆ ในอนาคต บริษัทมองถึงการเข้าซื้อกิจการ (M&A) ในธุรกิจที่เกี่ยวเนื่อง ซึ่งอยู่ระหว่างการเจรจากับธุรกิจที่บริษัทสนใจราว 4-5 ราย ซึ่งอยู่ระหว่างการเจรจาและพิจาณา โดยก่อนหน้านี้บริษัทได้เจรจาเพื่อเสนอซื้อกิจการธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องไป 2 ราย แต่ดีลการซื้อกิจการไม่สำเร็จ เนื่องจากราคาเสนอขายที่สูงไป ทำให้บริษัทเดินหน้าหารายใหม่แทน ซึ่งยังไม่สามารถระบุระยะเวลาที่แน่ชัดได้ว่าจะชัดเจนเมื่อใด เพราะดีลการซื้อกิจการของบริษัทที่จะเข้าไปลงทุนเป็นดีลที่มีขนาดใหญ่ ซึ่งอาจจะต้องใช้ระยะเวลาในการพิจาณาอย่างรอบคอบ
อย่างไรก็ตาม ในด้านของฐานะทางการเงินของบริษัทยังคงมีเพียงพอที่จะรองรับต่อการลงทุน เพราะบริษัทมีเงินสดในมือรวมกว่า 3.3 พันล้านบาท ในปัจจุบัน และยังเตรียมความพร้อมในการออกหุ้นกู้ที่ขออนุมัติจากที่ประชุมผู้ถือหุ้นมาอีก 2 พันล้านบาท ซึ่งปัจจุบันอยู่ระหว่างการเตรียมจัดทำอันดับเครดิตเรทติ้งหุ้นกู้ โดยการออกหุ้นกู้ของบริษัทเพื่อการรองรับการซื้อกิจการที่บริษัทสนใจ และจะออกหุ้นกู้เมื่อบริษัทได้ข้อสรุปของการซื้อกิจการที่แน่ชัดแล้ว