ทริสฯจัดเครดิตหุ้นกู้ใหม่ไม่เกิน 8 พันลบ. MINT ที่”A+”แนวโน้ม”Stable”

ทริสฯจัดเครดิตหุ้นกู้ใหม่ไม่เกิน 8 พันลบ. MINT ที่"A+"แนวโน้ม"Stable"


ทริสเรทติ้ง คงอันดับเครดิตองค์กรและหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ์ ไม่มีหลักประกันชุดปัจจุบันของ บริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) หรือ MINT ที่ระดับ “A+” พร้อมทั้งจัดอันดับเครดิตให้แก่หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ์ ไม่มีหลักประกันชุดใหม่ในวงเงินไม่เกิน 8,000 ล้านบาทของบริษัทที่ระดับ “A+” เช่นกัน โดยแนวโน้มยังคง “Stable” หรือ “คงที่” ทั้งนี้ บริษัทจะนำเงินที่ได้จากการออกหุ้นกู้ชุดใหม่ไปใช้สำหรับการลงทุนในกลุ่มโรงแรม Tivoli

อันดับเครดิตสะท้อนถึงผลการดำเนินงานที่ดีอย่างต่อเนื่อง รวมถึงความหลากหลายที่เพิ่มขึ้นของธุรกิจโรงแรมและธุรกิจร้านอาหารของบริษัท นอกจากนี้ การพิจารณาอันดับเครดิตยังคำนึงถึงโอกาสในการขยายตัวของธุรกิจรับจ้างบริหารโรงแรมและธุรกิจอาหารแบบแฟรนไชส์ด้วย อย่างไรก็ตาม จุดแข็งดังกล่าวถูกลดทอนบางส่วนจากลักษณะที่อ่อนไหวของธุรกิจโรงแรมและการแข่งขันที่รุนแรงของธุรกิจอาหารบริการด่วนและธุรกิจจัดจำหน่าย ทริสเรทติ้งคาดหมายว่ากลยุทธ์ที่เน้นการขยายตัวซึ่งจะช่วยสร้างความเติบโตให้แก่ธุรกิจของบริษัทในระยะยาวจะไม่บั่นทอนความแข็งแกร่งทางการเงินของบริษัทอย่างมีนัยสำคัญ

แนวโน้มอันดับเครดิต “Stable” หรือ “คงที่” สะท้อนถึงความสามารถของบริษัทในการสร้างกระแสเงินสดได้อย่างต่อเนื่องจากการมีธุรกิจที่หลากหลาย โดยบริษัทจะต้องบริหารจัดการสมดุลระหว่างการลงทุนและแหล่งเงินทุนอย่างระมัดระวังเพื่อรักษาคุณภาพเครดิตของบริษัทเอาไว้

ปัจจัยบวกต่ออันดับเครดิตของบริษัทจะเกิดจากการที่ธุรกิจโรงแรมของบริษัทในทวีปยุโรปและอเมริกาใต้ดำเนินไปได้ด้วยดีและผลการดำเนินงานโดยรวมของบริษัทแข็งแรงอย่างต่อเนื่อง ปัจจัยลบต่ออันดับเครดิตของบริษัทจะเกิดจากฐานะการเงินและสภาพคล่องของบริษัทอ่อนตัวลงอย่างต่อเนื่องโดยเฉพาะในช่วงที่มีการลงทุนจำนวนมาก ทั้งนี้ เป้าหมายการมีอัตราส่วนเงินกู้รวมต่อ EBITDA ต้องไม่ควรอยู่ในระดับสูงเกินกว่า 3.5 เท่าเป็นเวลานาน

บริษัทไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนลก่อตั้งในปี 2521 โดย Mr. William Ellwood Heinecke ณ สิ้นปี 2557 Mr. Heinecke และกลุ่มเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของบริษัทในสัดส่วนรวม 34% บริษัทดำเนินธุรกิจหลัก 3 ประเภท ได้แก่ 1) ธุรกิจโรงแรมและพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัย 2) ธุรกิจอาหารบริการด่วน และ 3) ธุรกิจจัดจำหน่ายและรับจ้างผลิตสินค้า ในปี 2557 รายได้หลักของบริษัทมาจากธุรกิจร้านอาหารและธุรกิจโรงแรมคิดเป็นสัดส่วน 41% และ 35% ของรายได้รวมตามลำดับ ในขณะที่ธุรกิจจัดจำหน่ายและธุรกิจพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยสร้างรายได้คิดเป็น 10% และ 7% ของรายได้รวมตามลำดับ

ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2557 บริษัทมีโรงแรมภายใต้การบริหารทั้งหมด 120 แห่งจำนวน 14,721 ห้อง ใน 18 ประเทศ ซึ่งครอบคลุมภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก อาฟริกา และตะวันออกกลาง โดยประกอบด้วยโรงแรมที่บริษัทเป็นเจ้าของ 21 แห่ง (3,122 ห้อง) โรงแรมภายใต้การร่วมทุน 25 แห่ง (1,923 ห้อง) โรงแรมภายใต้การบริหารของ Oaks Hotels and Resorts Limited 48 แห่ง (6,223 ห้อง) และโรงแรมภายใต้การรับจ้างบริหารจัดการ 26 แห่ง (3,453 ห้อง)

บริษัทบริหารและดำเนินงานโรงแรมเหล่านี้ภายใต้เครือโรงแรมที่เป็นที่รู้จักทั่วโลก เช่น Four Seasons รวมถึง Marriott และ St. Regis และภายใต้เครือโรงแรมของบริษัทเองคือ Anantara, Oaks, Avani, Elewana และ Per AQUUM ในเดือนมกราคม 2558 บริษัทได้ขยายธุรกิจโดยการซื้อกลุ่มโรงแรม Tivoli ในประเทศโปรตุเกส 4 แห่งและในประเทศบราซิล 2 แห่ง รวม 1,685 ห้อง โดยบริษัทมีแผนจะใช้แบรนด์ Tivoli ในการขยายธุรกิจในยุโรปและอเมริกาใต้

สำหรับธุรกิจร้านอาหารนั้น บริษัทดำเนินกิจการผ่านบริษัทย่อยคือ บริษัท เดอะ ไมเนอร์ ฟู้ด กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) (MFG) ซึ่งก่อตั้งในปี 2523 MFG เป็นผู้ดำเนินธุรกิจร้านอาหารที่ใหญ่ที่สุดในประเทศ โดยเป็นเจ้าของและผู้ประกอบการร้านอาหารแบบแฟรนไชส์จากต่างประเทศจำนวน 4 แบรนด์ ได้แก่ “สเวนเซ่นส์” “ซิซซ์เล่อร์” “แดรี่ ควีน” และ “เบอร์เกอร์ คิง” และมีแบรนด์สินค้าของบริษัทเอง ได้แก่ “เดอะ พิซซ่า คอมปะนี” “เดอะค็อฟฟีคลับ” “ริบส์ แอนด์ รัมพ์” “ไทยเอ็กเพรส” “Beijing Riverside and Courtyard (Riverside)” ในประเทศจีน และ BreadTalk ในประเทศไทย ซึ่งบริษัทสามารถใช้แบรนด์ร้านอาหารที่บริษัทเป็นเจ้าของและแบนด์ร้านอาหารแบบแฟรนไชส์จากต่างประเทศบางแบรนด์ในการขยายธุรกิจแฟรนไชส์ร้านอาหารทั้งในและต่างประเทศ

ณ สิ้นปี 2557 MFG มีร้านอาหารเปิดให้บริการรวมทั้งหมด 1,708 แห่ง ใน 21 ประเทศ ประกอบด้วยร้านที่บริษัทเป็นเจ้าของ 848 แห่ง และร้านแฟรนไชส์และแฟรนไชส์ย่อยอีก 860 แห่ง นอกจากนี้ บริษัทยังได้ลงทุนในบริษัท เอส แอนด์ พี ซินดิเคท จำกัด (มหาชน) (S&P) และ BreadTalk Group Ltd. (BreadTalk) ในประเทศสิงค์โปร์ด้วย

บริษัท ไมเนอร์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) (MINOR) ยังเป็นบริษัทย่อยอีกแห่งหนึ่งของบริษัทซึ่งดำเนินธุรกิจจัดจำหน่ายสินค้าแฟชั่น เครื่องสำอาง และโรงงานรับจ้างผลิตสินค้าด้วย โดยมีแบรนด์สินค้าที่สำคัญ อาทิ Esprit, Gap, Bossini, Charles & Keith, Tumi, Red Earth ฯลฯ

ในปี 2557 บริษัทมีรายได้รวมทั้งสิ้น 36,989 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 7% จากปี 2556 ธุรกิจร้านอาหารมีผลประกอบการที่เติบโตแม้จะได้รับผลกระทบจากภาวะการบริโภคที่อ่อนตัวในประเทศไทยและสิงคโปร์ก็ตาม รายได้จากธุรกิจร้านอาหารซึ่งรวมรายได้ค่าแฟรนไชส์ของธุรกิจอาหารในปี 2557 เท่ากับ 15,874 ล้านบาท เติบโต 11% เมื่อเทียบกับปีก่อน ในขณะที่รายได้ในส่วนของธุรกิจโรงแรมรวมถึงธุรกิจสปาและธุรกิจรับจ้างบริหารโรงแรมเติบโต 10% ในปี 2557 เป็น 14,209 ล้านบาท การกระจายตัวที่ดีของโรงแรมของบริษัท ผลการดำเนินงานที่สม่ำเสมอของ Oaks และผลประกอบการที่แข็งแกร่งของโรงแรมในกาะมัลดีล์ฟของบริษัทช่วยลดทอนผลการดำเนินงานที่อ่อนตัวของโรงแรมในประเทศไทยที่ได้รับผลกระทบทางการเมืองในปี 2557

นอกจากนี้ การเติบโตดังกล่าวยังได้รับแรงหนุนจากธุรกิจรับจ้างบริหารโรงแรมที่มีรายได้เพิ่มขึ้นถึง 2 เท่าในปี 2557 เป็น 1,265 ล้านบาท เทียบกับ 568 ล้านบาทในปี 2556 สะท้อนถึงความพยายามของบริษัทในการขยายธุรกิจดังกล่าวในช่วงหลายปีที่ผ่านมา บริษัทมีอัตราส่วนกำไรจากการดำเนินงานก่อนค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายค่อนข้างคงตัว แม้จะอ่อนลงเล็กน้อยในปี 2557 ที่ 16.8% เทียบกับ 17.8% ในปี 2556 สภาพคล่องของบริษัทอยู่ในระดับดี โดยบริษัทมีกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) ในปี 2557 เท่ากับ 8,878 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 6% จากปีก่อน อัตราส่วนกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายต่อดอกเบี้ยจ่ายอยู่ที่ 7 เท่าในปี 2557 อัตราส่วนกระแสเงินสดจากการดำเนินงานต่อหนี้สินอยู่ที่ 16.3% ในปี 2557 ลดลงจากปี 2556 ที่ 24.3%

โครงสร้างเงินทุนของบริษัทอ่อนตัวลงในปี 2557 โดยมีสาเหตุหลักมาจากการลงทุนในธุรกิจโรงแรมและโครงการที่อยู่อาศัยในอาฟริกาและการลงทุนในกลุ่มโรงแรม Tivoli ระดับหนี้ของบริษัทเพิ่มขึ้นจาก 23,385 ล้านบาทในปี 2556 เป็น 34,082 ล้านบาทในปี 2557 อัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนของบริษัทเพิ่มขึ้นจาก 50.4% ในปี 2556 เป็น 56% ในปี 2557 ในขณะที่อัตราส่วนเงินกู้รวมต่อ EBITDA อ่อนตัวลงจาก 3.2 เท่าในปี 2556 เป็น 4.2 เท่าในปี 2557 โดยหนี้สินของบริษัทจะเพิ่มสูงขึ้นในอนาคตจากแผนการลงทุนแม้บริษัทจะใช้กระแสเงินสดจากการดำเนินงานบางส่วนในการลงทุนก็ตาม

โดยบริษัทมีแผนจะลงทุนประมาณ 22,000 ล้านบาทในปี 2558 ซึ่งรวมการลงทุนในกลุ่มโรงแรม Tivoli ที่เกิดขึ้นเมื่อต้นปีจำนวน 6,560 ล้านบาท ในช่วงปี 2559-2560 บริษัทมีแผนลงทุน 11,000-16,000 ล้านบาท โดยเป็นการลงทุนในธุรกิจโรงแรมและโครงการที่อยู่อาศัยเป็นหลัก เนื่องจากบริษัทมักจะลงทุนในโครงการที่เริ่มดำเนินการแล้ว จึงมีผลทำให้บริษัทได้รับกระแสเงินสดจากการดำเนินการได้ทันที

กลยุทธ์การกระจายตัวที่ดีทำให้คาดว่าบริษัทจะเอาชนะความท้าทายในการดำเนินงานในแต่ละประเทศหรือภูมิภาคต่าง ๆ ได้และยังคงความสามารถในการสร้างรายได้ ภายใต้สมมติฐานเบื้องต้น ทริสเรทติ้งคาดว่ารายได้ของบริษัทจะมี EBITDA ที่ประมาณ 10,000-15,000 ล้านบาทต่อปีในปี 2558-2560 โดยกระแสเงินสดดังกล่าวจะใช้ในการชำระหนี้ของบริษัทประมาณ 5,500-7,000 ล้านบาทต่อปีในระหว่างปี 2558-2560 โดยส่วนที่เหลือจะใช้ในการลงทุน ทั้งนี้ บริษัทจำเป็นต้องมีการก่อหนี้เพิ่มเพื่อดำเนินการตามแผนกลยุทธ์

อย่างไรก็ดี การเพิ่มขึ้นของรายได้จากการดำเนินงานและการใช้สิทธิ์ในใบสำคัญแสดงสิทธิ์ในอีก 3 ปีข้างหน้าจะช่วยสนับสนุนโครงสร้างเงินทุนของบริษัทได้บางส่วน คาดว่าอัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนของบริษัทจะอยู่ในระดับไม่เกิน 60% ในช่วงปี 2558-2560 และบริษัทจะดำรงความสามารถในการบริหารสภาพคล่องที่ดี ในขณะที่อัตราส่วนเงินกู้รวมต่อ EBITDA คาดว่าจะอยู่ที่ประมาณ 4 เท่าในปี 2558 และจะค่อย ๆ ลดลงอยู่ในระดับต่ำกว่า 3.5 เท่าในปี 2559-2560

Back to top button