ทริสฯ คงเครดิตองค์กรของ MK ที่”BBB+”แนวโน้ม “Stable”

ทริสฯ คงเครดิตองค์กรของ MK ที่"BBB+"แนวโน้ม "Stable"


ทริสเรทติ้ง คงอันดับเครดิตองค์กรของ บริษัท มั่นคงเคหะการ จำกัด (มหาชน) หรือ MK ที่ระดับ “BBB+” ด้วยแนวโน้ม “Stable” หรือ “คงที่” โดยอันดับเครดิตสะท้อนถึงผลงานของบริษัทที่มีมาอย่างยาวนานในตลาดที่อยู่อาศัยสำหรับผู้มีรายได้ระดับปานกลาง ตลอดจนความสามารถในการควบคุมต้นทุนค่าก่อสร้างให้อยู่ในระดับที่แข่งขันได้อย่างต่อเนื่อง และนโยบายทางการเงินที่ระมัดระวัง ทั้งนี้ การประเมินอันดับเครดิตยังคำนึงถึงฐานรายได้ของบริษัทที่ค่อนข้างต่ำ ลักษณะของธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่เป็นวงจรขึ้นลง และการชะลอตัวของเศรษฐกิจภายในประเทศด้วย

แนวโน้มอันดับเครดิต “Stable” หรือ “คงที่” สะท้อนถึงผลการดำเนินงานของบริษัทที่ค่อนข้างคงที่ ในอนาคตคาดว่ารายได้ของบริษัทจะอยู่ในช่วง 2,000-2,500 ล้านบาทต่อปี ในขณะที่อัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนควรอยู่ในระดับต่ำกว่า 40% หรืออัตราส่วนหนี้สินต่อทุนควรต่ำกว่า 0.7 เท่า อันดับเครดิตและ/หรือแนวโน้มอันดับเครดิตของบริษัทอาจถูกปรับลดลงได้หากผลการดำเนินงานของบริษัทลดลงจากระดับปัจจุบันอย่างมีนัยสำคัญ ในทางกลับกัน อันดับเครดิตสามารถปรับเพิ่มขึ้นได้หากบริษัทสามารถเพิ่มส่วนแบ่งทางการตลาดและรักษาฐานะทางการเงินที่แข็งแกร่งเอาไว้ได้

บริษัทมั่นคงเคหะการก่อตั้งในปี 2516 และจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยในปี 2533 กลุ่มตระกูลตั้งมติธรรมยังคงเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของบริษัทในสัดส่วน 27% ณ เดือนธันวาคม 2557 บริษัทเน้นการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยประเภทบ้านจัดสรรในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑลเป็นหลัก ซึ่งประกอบด้วยบ้านเดี่ยว บ้านแฝด ทาวน์เฮ้าส์ และคอนโดมิเนียม รายได้จากที่อยู่อาศัยแนวราบยังคงเป็นรายได้หลักของบริษัท

รายได้ในปี 2557 ของบริษัทส่วนใหญ่มาจากการขายที่อยู่อาศัยแนวราบ บริษัทมีโครงการที่อยู่อาศัย ณ เดือนธันวาคม 2557 จำนวน 18 โครงการ ด้วยมูลค่าเหลือขายรวม 5,626 ล้านบาท บริษัทมียอดขายที่รอการส่งมอบมูลค่า 543 ล้านบาทซึ่งรวมยอดขายในโครงการ “ออกัส คอนโดมิเนียม” มูลค่า 175 ล้านบาทที่จะส่งมอบให้แก่ลูกค้าได้ภายในปี 2559 ความได้เปรียบในการแข่งขันของบริษัทมาจากความสามารถในการบริหารต้นทุนค่าก่อสร้างซึ่งทำให้บริษัทมีอัตรากำไรในระดับที่น่าพอใจ อัตรากำไรจากการดำเนินงานของบริษัทอยู่ในช่วง 18%-23% ระหว่างปี 2554 ถึงปี 2557 ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยที่ระดับ 14%-17% ในกลุ่มบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ 16 รายที่ได้รับการจัดอันดับเครดิต          

รายได้รวมของบริษัทลดลง 15% เป็น 2,347 ล้านบาทในปี 2557 จาก 2,760 ล้านบาทในปี 2556 เนื่องจากบริษัทไม่มีโครงการคอนโดมิเนียมเปิดขายใหม่ในปี 2557 จำนวนยูนิตในโครงการคอนโดมิเนียม “DEN Vibhavadi” ส่วนใหญ่ได้ส่งมอบให้แก่ลูกค้าไปแล้วในปี 2556 อย่างไรก็ตาม รายได้จากที่อยู่อาศัยแนวราบเพิ่มขึ้นเป็น 2,259 ล้านบาทในปี 2557 จาก 1,787 ล้านบาทในปี 2556 ยอดขายในปี 2557 ลดลงเล็กน้อยเป็น 1,970 ล้านบาท จาก 2,094 ล้านบาทในปี 2556        

อัตรากำไรขั้นต้นของบริษัทอยู่ในช่วง 38%-41% ยกเว้นในปี 2556 ที่กำไรขั้นต้นของบริษัทลดลงมาอยู่ที่ 34% เนื่องจากกำไรขั้นต้นที่ต่ำกว่าของโครงการคอนโดมิเนียม “DEN Vibhavadi” กำไรขั้นต้นของบริษัทกลับขึ้นมาอยู่ที่ 41% เนื่องจากรายได้ส่วนใหญ่ในปี 2557 มาจากโครงการที่อยู่อาศัยแนวราบซึ่งมีอัตรากำไรขั้นต้นสูงกว่าโครงการคอนโดมิเนียม ดังนั้นกำไรจากการดำเนินงานจึงเพิ่มขึ้นเป็น 24% ในปี 2557 จาก 19.7% ในปี 2556

บริษัทมีแผนจะเปิดขายโครงการคอนโดมิเนียมใหม่จำนวน 1-2 โครงการต่อปีเพื่อเพิ่มฐานรายได้ โดยในปี 2558 บริษัทมีแผนจะเปิดขายโครงการใหม่ทั้งหมดจำนวน 6 โครงการมูลค่าประมาณ 5,900 ล้านบาท ซึ่งรวมถึงโครงการคอนโดมิเนียม 2 โครงการมูลค่าประมาณ 2,700 ล้านบาทด้วย   อัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนของบริษัทคาดว่าจะสูงขึ้นในอนาคตจากการพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมมากขึ้น

อย่างไรก็ตาม คาดว่าบริษัทจะรักษาอัตราส่วนหนี้สินต่อทุนให้อยู่ต่ำกว่า 0.7 เท่า บริษัทมีหนี้สินทั้งหมด 1,297 ล้านบาท ณ สิ้นปี 2557 เพิ่มขึ้นจาก 920 ล้านบาทในปี 2556 อัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนเพิ่มขึ้นเล็กน้อยเป็น 19.17% ในปี 2557 จาก 14.83% ในปี 2556 ซึ่งทำให้สภาพคล่องของบริษัทอ่อนตัวลงในปี 2557 แต่ยังอยู่ในระดับที่ยอมรับได้ อัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อเงินกู้รวมของบริษัทลดลงอยู่ที่ 36.88% ในปี 2557 จาก 53.88% ในปี 2556 อย่างไรก็ตาม อัตราส่วนกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายต่อดอกเบี้ยจ่ายปรับตัวดีขึ้นเป็น 12.11 เท่าในปี 2557 เพิ่มขึ้นจาก 8.53 เท่าในปี 2556 จากการเพิ่มขึ้นของอัตรากำไรจากการดำเนินงาน

Back to top button