SSPมั่นใจผลงานQ4ฟื้นตัว ลุยCODโรงไฟฟ้าในญี่ปุ่นต้นปี 61 แจงกำไรQ3ลดเหตุนำเงินไปลงทุนตปท.

SSP มั่นใจผลงาน Q4/60 ฟื้นตัว เดินหน้าลุย COD โรงไฟฟ้าในญี่ปุ่นต้นปี 61 พร้อมแจงกำไร Q3/60 ลดเหตุนำเงินไปลงทุนตปท.


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วานนี้ (10 พ.ย.) บริษัท เสริมสร้าง พาวเวอร์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ SSP รายงานผลการดำเนินงานประจำไตรมาส 3/60 มีกำไรสุทธิ 54.10 ล้านบาท ลดลงจากปีก่อนหน้าหน้าที่มีกำไรสุทธิ 115.84 ล้านบาท สำหรับงวด 9 เดือนแรกปี 2560 มีกำไรสุทธิ 267.0 ล้านบาท ลดลง 118.9 ล้านบาท หรือร้อยละ 30.8 เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันในปีก่อนหน้าที่มีกำไรสุทธิ 385.9 ล้านบาท

อย่างไรก็ตาม ผู้บริหาร SSP ได้เปิดเผยว่า ผลประกอบการสำหรับงวด 9 เดือนและไตรมาส 3 นี้ถือว่าเป็นที่น่าพอใจ เนื่องจากโครงการเสริมสร้างโซลาร์ (SPN) กำลังการผลิตติดตั้ง 52 เมกกะวัตต์ที่ จ.ลพบุรี ซึ่งเริ่มดำเนินการเชิงพาณิชย์แล้วมีปริมาณขายไฟฟ้าเพิ่มสูงขึ้นกว่าปีก่อน ตลอดจนมีค่าประสิทธิภาพ (Performance Ratio) อยู่ในระดับที่น่าพอใจอย่างมาก

ขณะเดียวกันบริษัทบริษัทมีโครงการที่แข็งแกร่งทั้งที่อยู่ในระหว่างการก่อสร้างและการพัฒนาสามารถสร้างผลประกอบการให้แก่บริษัทได้อย่างต่อเนื่อง และจะช่วยเสริมสร้างให้บริษัทมีพัฒนาและเติบโตไปในทางที่ดีได้อย่างต่อเนื่องและมั่นคง สามารถรองรับการลงทุนโครงการต่างๆ ให้เป็นไปเป้าหมาย 200 เมกกะวัตต์ภายในปี 63

โดย นายวรุตม์ ธรรมาวรานุคุปต์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร SSP เปิดเผยว่า ผลประกอบการและแนวโน้มการดำเนินการสำหรับงวด 9 เดือนและไตรมาส 3 นี้ถือว่าเป็นที่น่าพอใจ โดยเมื่อพิจารณาการดำเนินการของโครงการที่เริ่มดำเนินการเชิงพาณิชย์แล้วของกลุ่มบริษัทซึ่งคือโครงการเสริมสร้างโซลาร์ (SPN) กำลังการผลิตติดตั้ง 52 เมกกะวัตต์ที่ จ. ลพบุรี จะพบได้ว่าทั้งในงวดไตรมาส 3 และสำหรับงวด 9 เดือนแรกของปีนั้นมีปริมาณขายไฟฟ้าเพิ่มสูงขึ้นกว่าปีก่อน ตลอดจนมีค่าประสิทธิภาพ (Performance Ratio) อยู่ในระดับที่น่าพอใจอย่างมาก

รวมทั้งเมื่อพิจารณาโครงการที่อยู่ระหว่างการก่อสร้างและพัฒนานั้นก็เป็นไปตามแผนงานที่กำหนดไว้ โดยสำหรับโครงการฮิดะกะนั้น ณ ปัจจุบัน การก่อสร้างใกล้แล้วเสร็จและคาดว่าจะสามารถเริ่มดำเนินการเชิงพาณิชย์ได้ตามแผนงานภายในไตรมาส 1 ปีหน้า

สำหรับโครงการยามากะนั้นการก่อสร้างดำเนินไปตามแผนงาน ในส่วนของโครงการโซเอ็นนั้น บริษัทได้เซ็นสัญญาเงินกู้และเริ่มการก่อสร้างแล้วในช่วงปลายเดือนกันยายนที่ผ่านมา และสำหรับโครงการโซลาร์ อผศ. นั้นทางเสริมสร้างก็ได้มีการเซ็นสัญญาร่วมลงทุนกับองค์การทหารผ่านศึกเรียบร้อยแล้วในช่วงต้นเดือนตุลาคม

ด้าน นางสาวธัณฐภรณ์ ไกรพิสิทธิ์กุล รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร SSP เปิดเผยว่า ในด้านของผลประกอบการของกลุ่มบริษัทนั้น ฝ่ายจัดการและคณะกรรมการพิจารณาว่าในตัวเลขกำไรสุทธิที่แสดงในงบการเงินมีรายการที่ไม่สะท้อน Core Profit จากการดำเนินการ เช่น Foreign Exchange Gain/Loss ซึ่งเกิดจากโครงสร้างการลงทุนโครงการในต่างประเทศที่ใช้การให้กู้ยืมในกลุ่มบริษัทเพื่อประโยชน์ในการจัดการเงินทุนในกลุ่ม ตลอดจนต้นทุนการลงทุนโครงการบางรายการที่ในทางบัญชีตัดเป็นค่าใช้จ่าย

ดังนั้นจึงพิจารณา Adjusted Operating Profit เป็นดัชนีสำคัญที่ใช้ชี้วัดกำไรจากการดำเนินการและใช้พิจารณาควบคู่กับนโยบายในการเสนอจ่ายเงินปันผลต่อผู้ถือหุ้น ซึ่งสำหรับไตรมาส 3 และงวด 9 เดือนแรกของปีที่ผ่านมา ก็จะพบว่า Adjusted Operating Profit ของกลุ่มบริษัทยังคงมีความแข็งแกร่ง ทั้งนี้นอกจากกลุ่มบริษัทจะมีปริมาณขายไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้นแล้ว การปรับตัวของค่าไฟฟ้า Ft หลายครั้งในช่วงที่ผ่านมาก็เป็นทิศทางบวกต่อบริษัทอีกด้วย

ด้านสถานะทางการเงินนั้น ณ สิ้นไตรมาส 3 เมื่อบันทึกบัญชีเงินที่ได้จากการระดมทุน IPO เข้ามาในส่วนผู้ถือหุ้นก็ได้ส่งผลให้อัตราส่วน Consolidated D/E ของกลุ่มบริษัท ก็ปรับลดลงมาจาก 2.8 เท่า ณ ต้นปีมาเป็น 1.3 เท่า ณ สิ้นไตรมาส 3 และเมื่อพิจารณาอัตราส่วน D/E จากงบการเงินเฉพาะบริษัทก็จะอยู่ในระดับ 0.07 เท่า ซึ่งประเมินว่าจะสามารถรองรับการลงทุนโครงการต่างๆ ตามเป้าหมาย 200 เมกกะวัตต์ภายในปี 63 ได้อย่างเหมาะสม

ทั้งนี้จากผลประกอบการดังกล่าว จะเห็นได้ว่าบริษัทมีโครงการที่แข็งแกร่งซึ่งสามารถสร้างผลประกอบการให้แก่บริษัทได้อย่างต่อเนื่อง อีกทั้งโครงการอื่นๆ ที่กำลังพัฒนาและศึกษาเพิ่มเติมนั้น จะช่วยเสริมสร้างให้บริษัทมีพัฒนาและเติบโตไปในทางที่ดีได้อย่างต่อเนื่องและมั่นคง เป็นไปตามแผนงานที่วางไว้

โดยผลประกอบการของ SSP ประจำไตรมาส 3/60 มีกำไรสุทธิ 54.10 ล้านบาท ลดลงจากปีก่อนหน้าหน้าที่มีกำไรสุทธิ 115.84 ล้านบาท โดยมีสาเหตุหลักจากการรับรู้ผลขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนที่ยังไม่เกิดขึ้นจริง ซึ่งเป็นผลจากเงินให้กู้ยืมในกลุ่มบริษัทเพื่อการลงทุนโครงการในต่างประเทศ สำหรับงวด 9 เดือนแรกปี 2560 มีกำไรสุทธิ 267.0 ล้านบาท ลดลง 118.9 ล้านบาท หรือร้อยละ 30.8 เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันในปีก่อนหน้าที่มีกำไรสุทธิ 385.9 ล้านบาท

ทั้งนี้เมื่อพิจารณากำไรจากการดำเนินการหลังการปรับปรุง (Adjusted Operating Profit) สำหรับงวดเก้าเดือนสิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน ระหว่างปี 59 และ 60 จะพบว่ากลุ่มบริษัทฯ มีกำไรจากการดำเนินการหลังการปรับปรุง เท่ากับ 367.9 ล้านบาท และ 359.6 ล้านบาทตามลำดับ ซึ่งลดลงเพียง 8.3 ล้านบาท หรือร้อยละ 2.2 เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันในปีก่อนหน้า

โดยกำไรจากการดำเนินการหลังการปรับปรุงพิจารณาได้จากปรับ การรับรู้ผลขาดทุนหรือกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนที่ยังไม่เกิดขึ้นจริง (unrealized foreign exchange gain/loss), การเพิ่มขึ้นของค่าใช้จ่ายในการก่อสร้างโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ในประเทศญี่ปุ่นซึ่งไม่ได้คิดเป็นต้นทุนสินทรัพย์ (uncapitalized construction cost)

Back to top button