ตลท. มอง Q1/58 กำไร บจ. สูงกว่าคาดรับผลดีน้ำมันลง-ท่องเที่ยวดี
ตลท.คาด Q1/58 กำไร บจ.ทะลุ 2 แสนลบ. สูงกว่าคาดรับผลดีน้ำมันลง-การท่องเที่ยวดี เผยดัชนี SET Index เม.ย.เพิ่ม 1.9% จากปี 57 วอลุ่มโต 36% จากช่วงเดียวกันปีก่อน
นายเกียรติพงศ์ อริยปรัชญา ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยเพื่อตลาดทุน ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เปิดเผยว่า ตลท.มั่นใจว่ากำไรสุทธิของบริษัทจดทะเบียนไทย (บจ.) ในไตรมาส 1/58 จะมากกว่าที่หลายๆ ฝ่ายคาดการณ์ไว้ และจะมากกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งอยู่ที่ 202,047 ล้านบาท และไตรมาสก่อนที่มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 62,543 ล้านบาท เนื่องจากปัจจุบันมี บจ.ส่งผลการดำเนินงานมาทั้งสิ้น 306 บริษัท หรือคิดเป็น 77% ของมูลค่าตลาดรวมทั้งหมด มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 199,000 ล้านบาท และประเมินว่าหากบริษัทจดทะเบียนส่งผลการดำเนินงานมาทั้งหมดแล้ว จะมีกำไรสุทธิมากกว่า 200,000 ล้านบาทแน่นอน
โดยกลุ่มอุตสาหกรรมที่มีผลการดำเนินงานเติบโตได้อย่างโดดเด่นคือ พลังงาน ท่องเที่ยว บริการ และการผลิตสินค้าเพื่อส่งออก (ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์) ซึ่งได้รับอานิสงค์จากราคาน้ำมันที่ปรับตัวเพิ่มสูงขึ้น ค่าเงินบาทที่อ่อนตัวลง ประกอบกับประเทศใหญ่ๆมีการฟื้นตัวได้อย่างต่อเนื่อง และกลุ่มประเทศลุ่มแม่น้ำโขงที่มีการเติบโตได้ค่อนข้างดี
ทั้งนี้ในช่วงไตรมาส 1/58 สัดส่วนการถือครองหุ้นของต่างชาติปรับตัวลดลงมาอยู่ที่ 31.23% ซึ่งอยู่ในระดับที่ต่ำสุดในรอบ 10 ปี แต่อย่างไรก็ตาม มูลค่าการถือของครองหุ้นของต่างชาติจากปี 47 จนถึงปี 57 มีการเติบโตขึ้นถึง 270% ซึ่งเป็นไปตามมูลค่าตลาดรวมที่เพิ่มขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง
ด้านนายภากร ปีตธวัชชัย รองผู้จัดการสายงานวางแผนกลยุทธ์องค์และการเงิน ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย กล่าวถึงดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่องในช่วงที่ผ่านมาว่า เป็นผลมาจากทั้งปัจจัยภายนอก และปัจจัยภายในประเทศที่เศรษฐกิจยังมีการชะลอตัวลงอย่างต่อเนื่อง และโครงการโครงสร้างพื้นฐานภาครัฐฯที่ยังล่าช้าอยู่
โดยดัชนีปรับตัวลดลงมาจากผลกระทบทั้งภายในและภายนอก และเชื่อว่าผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนได้ผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว หากราคาน้ำมันไม่ปรับตัวลดลงต่ำไปอีกก็เชื่อว่าผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนจะไม่ต่ำไปกว่านี้ และจะค่อยๆปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง
สำหรับภาวะการซื้อขายหลักทรัพย์เดือน เม.ย.58 ดัชนีตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET Index) ปิดที่ 1,526.74 จุด ปรับเพิ่มขึ้น 1.4% จากสิ้นเดือนก่อนหน้า และเพิ่มขึ้น 1.9% จากสิ้นปี 57 มูลค่าซื้อขายเฉลี่ยต่อวันรวมของ SET และ mai อยู่ที่ 42,442 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 36% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน
ด้าน market capitalization รวมของตลาดหลักทรัพย์ไทย อยู่ในระดับสูงที่ 14.73 ล้านล้านบาท โดยระหว่างเดือนมีเหตุการณ์สำคัญในตลาดการเงิน คือ การปรับลดดอกเบี้ยนโยบายติดต่อกันเป็นครั้งที่สองของธนาคารแห่งประเทศไทย และสถานการณ์ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกที่ปรับตัวสูงขึ้น เป็นปัจจัยบวกต่อหลักทรัพย์ในกลุ่มทรัพยากร และ กลุ่มปิโตรและเคมีภัณฑ์
ขณะที่ผู้ลงทุนต่างประเทศซื้อสุทธิต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 2 ด้วยมูลค่า 210 ล้านบาท ซึ่งได้รับอานิสงส์จากการดำเนินมาตรการ QE ของธนาคารกลางสหภาพยุโรป (ECB) และการประกาศยกเลิกกฎอัยการศึกเมื่อต้นเดือนเมษายน 2558
ทั้งนี้ Market capitalization รวมของ SET และ mai ณ สิ้นเดือน เม.ย.58 ปรับเพิ่มขึ้นต่อเนื่องจากเดือน มี.ค.58 โดย market capitalization ของ SET อยู่ที่ 14.32 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้น 1.42% จากเดือนก่อน และเพิ่มขึ้น 3.33% จากสิ้นปี 57 ขณะที่ mai อยู่ที่ 411,127 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3.33% จากเดือนก่อน และเพิ่มขึ้น 7.32% จากสิ้นปี 57
ขณะที่ Forward P/E ของ SET อยู่ที่ 15.20 เท่า และ mai อยู่ที่ 22.32 เท่า อัตราเงินปันผลตอบแทนของ SET อยู่ที่ 2.93% และ mai อยู่ที่ 0.96%
โดยบริษัทจดทะเบียนใน SET และ mai มีมูลค่าระดมทุนรวม 3,268 ล้านบาท โดยทั้งหมดเป็นการระดมทุนในตลาดรอง ทั้งนี้ ในช่วง 4 เดือนแรกของปี 58 มีมูลค่าการระดมทุนรวมทั้งสิ้น 132,270 ล้านบาท เพิ่มขึ้นกว่า 3.2 เท่า จากช่วงเดียวกันของปีก่อน
สำหรับภาวะตลาดสัญญาซื้อขายล่วงหน้า ในเดือนเม.ย.58 ตลาดสัญญาซื้อขายล่วงหน้า (TFEX) มีปริมาณสัญญาซื้อขายเฉลี่ยต่อวันลดลง โดยอยู่ที่ 156,821 สัญญา สาเหตุสำคัญมาจากการซื้อขายที่ลดลงของ single stock futures และ SET50 index futures