THANA ร่วง 2 วันติด คาดนลท.ขายทำกำไรหลังราคาพุ่งแรงก่อนหน้านี้

THANA ร่วง 2 วันติด คาดนลท.ขายทำกำไรหลังราคาพุ่งแรงก่อนหน้านี้ ฟากบริษัทย้ำกำไรยังโตแกร่ง โดยล่าสุด ณ เวลา 15.54 น. ราคาอยู่ที่ระดับ 2.52 บาท ลบ 0.14 บาท หรือ 5.26% สูงสุดที่ 2.72 บาท ต่ำสุดที่ 2.48 บาท มูลค่าการซื้อขายที่ 31.89 ล้านบาท


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หุ้นบริษัท ธนาสิริ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ THANA ล่าสุด ณ เวลา 15.54 น. ราคาอยู่ที่ระดับ 2.52 บาท ลบ 0.14 บาท หรือ 5.26% สูงสุดที่ 2.72 บาท ต่ำสุดที่ 2.48 บาท มูลค่าการซื้อขายที่ 31.89 ล้านบาท ทั้งนี้ราคาหุ้นปรับตัวลดลงเป็นวันที่ 2 ติดต่อกัน นับตั้งแต่ราคาหุ้นอยู่ที่ระดับ 2.66 บาท เมื่อวันที่ 20 ธ.ค.60

สำหรับปัจจัยที่ส่งผลให้ราคาหุ้น THANA ปรับตัวลดลงในวันนี้ คาดว่ามาจากการที่นักลงทุนขายทำกำไร หลังจากราคาหุ้นปรับตัวขึ้นแรงก่อนหน้านี้ โดยเมื่อวันที่ 19 ธ.ค.60 ราคาหุ้นปรับตัวแรงมาปิดที่ระดับ 2.70 บาท หรือปรับตัวเพิ่มขึ้นถึง 29.81% 

อย่างไรก็ตาม จากการตรวจสอบข้อมูลของ “ข่าวหุ้นธุรกิจออนไลน์” พบว่าผลประกอบการของ THANA ยังคงเติบโตจากยอดโอนบ้านเดี่ยวและบ้านแฝดที่จะส่งผลให้ในไตรมาส 4/60 บริษัทฯจะมีรายได้ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ และคาดว่าในปี 2561 จะมียอดขายและรายได้เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

ด้าน นายสุทธิรักษ์ เสถียรภาพอยุทธ์ กรรมการผู้จัดการ THANA เปิดเผยว่า บริษัทตั้งเป้าหมายยอดขายและรายได้ในปี 61 เติบโตราว 10-15% จากปีนี้ หลังมองว่าเศรษฐกิจภาพรวมมีแนวโน้มดีขึ้นจากการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานของรัฐบาล ที่จะมีงานประมูลโครงการต่างๆ เพิ่มมากขึ้น ทำให้มีเม็ดเงินหมุนเวียนในระบบมากขึ้น นอกจากนี้ลูกค้าที่มีศักยภาพยังอยู่ในตลาดฯ ทำให้สภาพทิศทางการเติบโตของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์มีแนวโน้มที่ดีขึ้น

โดยปีหน้าบริษัทมีแผนเปิดตัวโครงการบ้านเดี่ยวและบ้านแฝดรวม 2 โครงการ มูลค่ารวม ราว 1.5 พันล้านบาท และชะลอการทำโครงการทาวน์เฮาส์ เนื่องจากโครงการบ้านเดี่ยวและบ้านแฝดมีอัตรากำไรขั้นต้นในระดับ 33-34% สูงกว่าโครงการทาวน์เฮ้าส์ที่อยู่ในระดับต่ำกว่า 30%

ทั้งนี้ เนื่องจากลูกค้าในกลุ่มทาวน์เฮาส์ส่วนใหญ่คำนึงถึงต้นทุนและราคามากขึ้น (Price Sensitive) ขณะที่จุดแข็งของบริษัทจะเน้นการออกแบบและเน้นด้านฟังก์ชัน โดยในอนาคตบริษัทจะเจาะกลุ่มตลาดพรีเมียมมากขึ้นด้วย

นอกจากนี้บริษัทยังจะรักษาระดับยอดปฏิเสธสินเชื่อในปีหน้า ให้อยู่ในระดับเดียวกับปีนี้ที่คาดว่าจะอยู่ในกรอบราว 10% หลังบริษัทมีหน่วยงานสินเชื่อภายในเพื่อคัดกรองลูกค้าก่อนการจองซื้อ รวมถึงความร่วมมือกับสถาบันการเงินพันธมิตรอีก 3 แห่งเพื่อคัดกรองลูกค้า และอาศัยฐานข้อมูลจากเครดิตบูโรเป็นหลัก นอกจากนี้ยังมีการอบรมภายในของทีมขายด้วย

นายสุทธิรักษ์ กล่าวอีกว่า สำหรับในปี 60 บริษัทยังคงเป้ารายได้เติบโต 20% จากปีก่อน หลังในไตรมาส 4/60 เป็นช่วงที่จะมียอดโอนและยอดจองเข้ามามาก โดยมองว่าโครงการบ้านเดี่ยวและบ้านแฝดจะมีอัตราการเติบโตที่สูงและดีกว่าที่คาดไว้ เพราะมีสินค้าคงเหลือน้อย โดยบริษัทกำลังเร่งผลิตและก่อสร้างเพิ่มเติม

ขณะที่โครงการทาวน์เฮาส์การเติบโตชะลอตัวลง เนื่องจากลูกค้าเป็นกลุ่ม Price Sensitive ส่งผลกระทบต่อยอดขายค่อนข้างมาก โดยในปีหน้าจะปรับเปลี่ยนโครงการทาวน์เฮาส์ให้มี Market Size ที่เล็กลง และจะเริ่มปรับเปลี่ยนกลยุทธ์และราคาในไตรมาส 4/60 ด้วย

ส่วนการทำการตลาดออนไลน์ปัจจุบันยังทรงตัว แม้ยอดขายสูงขึ้นแต่เม็ดเงินยังเท่าเดิม โดยบริษัทมีแผนที่จะตอกย้ำและวัดผลมากขึ้น ด้วยการรุกตลาดไปยังชุมชนและหมู่บ้านต่างๆ ที่มีอายุเกิน 15 ปี และมีแนวโน้มต้องขยับขยายที่อยู่อาศัย เพื่อกระตุ้นตลาดมากขึ้น

“จากการประเมินแนวโน้มตลาดที่อยู่อาศัยของศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ (ธอส.) พบว่า จากตัวเลขคาดการณ์การเติบโตเศรษฐกิจ (จีดีพี) ปีหน้าเติบโตเกิน 4% ส่งผลต่อทิศทางตลาดอสังหาฯ ประเภทที่อยู่อาศัยในปี 61 จะกลับมาสดใสพอสมควร เมื่อเทียบกับปี 59 ต่อเนื่องปี 60 ที่มีมาตรการสนับสนุนภาคอสังหาฯ และยังไม่อยู่ในภาวะล้นตลาด

โดยบริษัทยังคงเน้นการพัฒนาโครงการ ในพื้นที่จังหวัดนนทบุรีเป็นหลักเนื่องจากเป็นจังหวัดที่มีศักยภาพ เป็นสุดยอดทำเล มีแผนงานการพัฒนาระบบสาธารณูปโภคต่างๆ อย่างต่อเนื่องจากภาครัฐ ที่มีความสมบูรณ์ทั้งระบบ ทั้งระบบการขนส่งมวลชนเพื่อรองรับการขยายตัวของชุมชน รวมทั้งห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่และสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ อย่างครบครัน รวมถึง IKEA ที่มีกำหนดเปิดในช่วงเดือนมีนาคมปีหน้า ก็จะช่วยสร้างความคึกคักและสมบูรณ์พร้อมเพิ่มขึ้นไปอีก มีการวางแผนการดำเนินงานอย่างรัดกุม และมีการปรับแผนคุมค่าใช้จ่ายทางการตลาดให้เหมาะสม” นายสุทธิรักษ์ กล่าว

Back to top button