“ปิยวัชร”มองDDDโตแกร่ง! ปี61เข้าสู่ช่วงเก็บเกี่ยวเต็มตัว หลังปูพรม”มาร์เก็ตติ้ง”จนติดตลาด

"ปิยวัชร" มอง DDD โตแกร่ง! ปี 61 เข้าสู่ช่วงเก็บเกี่ยวเต็มตัว หลังปูพรม "มาร์เก็ตติ้ง" จนติดตลาด


นายปิยวัชร ราชพลสิทธิ์ ประธานเจ้าหน้าที่สายงานบัญชีและการเงิน หรือ CFO บริษัท ดู เดย์ ดรีม จำกัด (มหาชน) หรือ DDD เปิดเผยผ่านรายการ ข่าวหุ้นเจาะตลาด ออนเรดิโอ ทาง FM 98.5 MHz สถานีข่าวจริง สปริงเรดิโอ ว่า บริษัทมั่นใจว่ายังมีโอกาสในการเติบโตของธุรกิจได้อย่างแข็งแกร่ง เนื่องจากมองว่าภาพรวมตลาดมีการเติบโตขึ้นทุกปี และบริษัทมีการเติบโตในอัตราที่โตกว่าตลาด โดยปัจจุบันบริษัทมีส่วนแบ่งทางการตลาด (มาร์เก็ตแชร์) อยู่ที่ประมาณ 3-4% และมั่นใจว่าในอนาคตจะสามารถเพิ่มขึ้นจากเดิมได้อย่างแน่นอน

อีกทั้งในช่วงต้นไตรมาส 4 ที่ผ่านมา บริษัทได้เข้าไปจับมือในร้านค้าปลอดภาษี คือ King Power เพื่อวางขายสินค้า โดยประเดิมสาขาแรกที่สาขาศรีวารี ซึ่งได้รับการตอบรับดีเกินคาด เนื่องจากมีนักท่องเที่ยวเข้ามาซื้อสินค้าเป็นจำนวนมาก นอกจากนี้บริษัทยังมีการพูดคุยกับทาง King Power ถึงความเป็นไปได้ในการขยายสาขาเพื่อวางขายสินค้าเพิ่มเติม โดยปัจจุบันบริษัทได้มีสาขาเพิ่มอีก 1 ที่ คือ King Power สาขาสุวรรณภูมิ มีจุดขายอยู่ประมาณ 5-6 แห่ง ทั่วสนามบิน

นายปิยวัชร กล่าวอีกว่า ปัจจุบันบริษัทมีช่องทางการจำหน่ายสินค้าผ่านทาง โมเดิร์น เทรด อาทิ ร้านบูท, ร้านวัตสัน, เซเว่นอีเลฟเว่น, เทสโก้ โลตัส เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีร้านดั้งเดิมอย่าง ร้านเจ๊เล้ง รวมถึงสถานที่ท่องเที่ยวที่สำคัญครอบคลุมกว่า 14,000 จุด ทั่วประเทศ

“ในปีที่ผ่านมาที่มีการเติบโต 2.5 เท่า เนื่องจากมีฐานที่ต่ำ เลยดูตัวเลขค่อนข้างสูง โดยเราเชื่อว่า ถึงแม้จะไม่ได้ 2.5 เท่าอย่างที่เคยทำได้ แต่ก็ยังเชื่อว่าเรายังรักษาอัตราการเติบโตของกำไรได้ดีอยู่ เพราะปีนี้เป็นปีที่เราลงทุนไปมากในเรื่องของการโฆษณา เนื่องจากเป็นปีของการสร้างฐาน มีการออกสินค้าใหม่ 8 ตัว และมีการทำโฆษณาเพื่อให้เป็นที่รู้จักเป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยเชื่อว่าในปีหน้าจะได้รับประโยชน์จากตรงนี้ เนื่องจากขายสินค้าได้มากขึ้น แต่มีค่าใช้จ่ายในการโฆษณาลดลง” นายปิยวัชร กล่าว

ทั้งนี้ บริษัทมองว่าแนวโน้มในปี 2561 บริษัทจะเติบโตผ่านช่องทางนี้ได้ดี เนื่องจาก King Power มีสาขามากกว่า 9 สาขา ซึ่งหากบริษัทได้เข้าไปขยายสาขาครบทั้งหมดจะทำให้เข้าถึงลูกค้าได้เพิ่มมากขึ้น

นอกจากนี้ ยังมองว่าในปี 2561 บริษัทจะได้รับผลประโยชน์สูงสุด เนื่องจากไม่มีค่าใช้ค่าโฆษณา รวมถึงค่าใช้จ่ายทางการตลาด เนื่องจากในปีนี้บริษัทได้วางรากฐานไว้ทั้งหมดแล้ว นอกจากนี้ยังมีแนวโน้มรายเติบโตเนื่องจากขายสินค้าได้มากขึ้นจากผลิตภัณฑ์ที่เพิ่มมากขึ้น

อีกทั้ง บริษัทมีแผนนำเงินที่ได้จากการระดมทุนใช้ในการขยายกำลังการผลิต พื้นที่คลังสินค้า และช่องทางการจัดจำหน่าย เพื่อรองรับการขยายธุรกิจในอนาคต พัฒนาระบบงานและฝ่ายวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ และเป็นเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินงานของบริษัท ทั้งนี้บริษัทมุ่งมั่นที่จะก้าวเป็น 1 ใน 3 ของบริษัทชั้นนำด้านความงามในภูมิภาคเอเชีย

สำหรับผลการดำเนินงานของบริษัทในช่วงปี 2559 บริษัทมีผลกำไรสุทธิ 335 ล้านบาท เติบโต 73% จากปี 2558 ที่มีกำไรสุทธิ 194 ล้านบาท ขณะที่ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2560 บริษัทมีกำไรสุทธิ 253 ล้านบาท ซึ่งคิดเป็น 80% ของกำไรสุทธิทั้งปีของปี 2559 อีกทั้งในไตรมาส 4 ถือเป็นไตรมาสที่ดีที่สุดของบริษัท เนื่องจากในไตรมาสดังกล่าวไม่มีภาระค่าใช้จ่ายจากการโฆษณา ทำให้สามารถรับรู้กำไรได้อย่างเต็มที่

“ไตรมาสไหนที่บริษัทมีการลงโฆษณา หรือออกผลิตภัณฑ์ใหม่ บริษัทจะมีกำไรน้อย แต่ขณะนี้บริษัทลงโฆษณาไปเรียบร้อยแล้วในช่วงไตรมาส 1-3 เท่ากับว่าในไตรมาส 4 จะมีกำไรที่โดดเด่น ซึ่งเป็นหลักการทั่วไปของธุรกิจเรา” นายปิยวัชร

นอกจากนี้บริษัทถือว่ามีอัตราหนี้สินที่ค่อนข้างต่ำ โดยล่าสุด ณ สิ้นวันที่ 30 กันยายน 2560 มีหนี้สินรวมจำนวน 599 ล้านบาท โดยเป็นหนี้สินหมุนเวียนจำนวน 556 ล้านบาท ขณะที่มีหนี้สินไม่หมุนเวียนเพียง 43 ล้านบาท ขณะที่มีสินทรัพย์รวมถึง 1.44 พันล้านบาท และมีส่วนของผู้ถือหุ้น 841.76 ล้านบาท เท่ากับว่าบริษัทมีหนี้สินต่อส่วนของผู้ถือหุ้น (Debt/Equity) อยู่ในระดับต่ำที่ 0.71 เท่า ซึ่งแสดงให้เห็นว่าบริษัทมีความสามารถในการชำระหนี้สูง

Back to top button