ยลโฉม 4 หุ้นพลังงานเทรดคึกคัก ทุบ “ออลไทม์ไฮ” แถมกำไรโตไม่ยั้ง
ในช่วงที่ผ่านมาจะเห็นได้ว่าตลาดหุ้นไทยมีแรงซื้อของหุ้นกลุ่มพลังงานเข้ามาหนุนดัชนีให้สามารถปรับตัวขึ้นได้ โดยวานนี้ (27 ธ.ค.) ในช่วงเช้าดัชนีได้ปรับตัวขึ้นแรง เนื่องจากมีแรงซื้อในหุ้นกลุ่มพลังงาน โดยเฉพาะกลุ่มผลิตก๊าซธรรมชาติและน้ำมัน เป็นผลมาจากราคาน้ำมันดิบในช่วงไตรมาส 4/60 ปรับตัวขึ้นมาดีเกินคาด อีกทั้งยังได้ปัจจัยบวกล่าสุดจากข่าวการลอบวางระเบิดท่อส่งน้ำมันดิบในลิเบีย ช่วยให้ราคาน้ำมันปรับขึ้นได้ต่อเนื่อง
ในช่วงที่ผ่านมาจะเห็นได้ว่าตลาดหุ้นไทยมีแรงซื้อของหุ้นกลุ่มพลังงานเข้ามาหนุนดัชนีให้สามารถปรับตัวขึ้นได้ โดยวานนี้ (27 ธ.ค.) ในช่วงเช้าดัชนีได้ปรับตัวขึ้นแรง เนื่องจากมีแรงซื้อในหุ้นกลุ่มพลังงาน โดยเฉพาะกลุ่มผลิตก๊าซธรรมชาติและน้ำมัน เป็นผลมาจากราคาน้ำมันดิบในช่วงไตรมาส 4/60 ปรับตัวขึ้นมาดีเกินคาด อีกทั้งยังได้ปัจจัยบวกล่าสุดจากข่าวการลอบวางระเบิดท่อส่งน้ำมันดิบในลิเบีย ช่วยให้ราคาน้ำมันปรับขึ้นได้ต่อเนื่อง
“ข่าวหุ้นธุรกิจออนไลน์” ได้ทำการสำรวจข้อมูลและบทวิเคราะห์ในหุ้นกลุ่มพลังงาน พบว่าราคาหุ้นช่วงปิดตลาดวานนี้ของบริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ GULF, บริษัท บี.กริม เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BGRIM, บริษัท พลังงานบริสุทธิ์ จำกัด (มหาชน) หรือ EA และ บริษัท โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) หรือ GPSC ปรับตัวขึ้นทำจุดสูงสุดนับตั้งแต่เข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ รวมทั้งยังมีพื้นฐานที่ค่อนข้างแข็งแกร่ง และผลการดำเนินงานยังคงมีแนวโน้มเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง
โดยราคาหุ้น GULF ปิดตลาดอยู่ที่ 62.75 บาท บวก 3.25 บาท หรือ 5.46% สูงสุดที่ 64.25 บาท ต่ำสุดที่ 59.75 บาท มูลค่าซื้อขายที่ 3 พันล้านบาท ปรับตัวขึ้นทำจุดสูงสุดตั้งแต่เข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) เมื่อวันที่ 6 ธ.ค.60 จากราคา IPO ที่ 45 บาท
เช้าวานนี้ (27 ธ.ค.) มีกระแสข่าวว่าบริษัท สวนอุตสาหกรรมโรจนะ จำกัด (มหาชน) หรือ ROJNA มีโอกาสซื้อหุ้น GULF เพิ่มหากผลตอบแทนดี โดยก่อนหน้านี้ ROJNA เป็นผู้ถือหุ้น GULF ทั้งหมด 20,000,000 หุ้น หรือคิดเป็น 0.94%
ขณะที่ก่อนหน้านี้ นายรัฐพล ชื่นสมจิตต์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ GULF เปิดเผยว่า บริษัทตั้งเป้าหมายจะมีขนาดกำลังการผลิตไฟฟ้าเพิ่มเป็น 11,125 เมกะวัตต์ (MW) ภายในปี 2567 จากปัจจุบันที่มีกำลังการผลิตที่มีการจำหน่ายไฟฟ้าเข้าสู่ระบบเชิงพาณิชย์ (COD) แล้วจำนวน 4,772 MW
สำหรับกำลังการผลิตปัจจุบันที่มีประมาณ 1,800 MW สามารถทำรายได้กว่า 2.4 พันล้านบาท ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 60 ซึ่งในปี 60 จะมีการรับรู้รายได้จากกำลังการผลิตเต็มทั้งปีประมาณ 4,000 MW ส่วนอีกประมาณ 500 MW จะไปรับรู้เต็มปีในปี 61 และจะมีการรับรู้รายได้จากกำลังผลิตได้เต็มปีของโรงไฟฟ้า SPP ทั้งหมดในปี 63 ก่อนที่จะมีโรงไฟฟ้า IPP ขนาดกำลังการผลิต 5,000 MW ทยอยเข้ามาเพิ่ม
ทั้งนี้ โรงไฟฟ้า SPP จำนวน 1 โรง ขนาดกำลังการผลิตประมาณ 120 MW ที่ดำเนินการผลิตเต็มปีจะมีรายได้ประมาณ 2.5-2.7 พันล้านบาทต่อปี เมื่อมีการทยอยเปิดไตรมาสละ 1 โรง จึงจะยังไม่สามารถรับรู้รายได้เต็มปีจากทั้ง 4 โรงที่เปิดในปีนั้นเลย โดยโรงไฟฟ้าที่ 4 ซึ่งเปิดสุดท้ายของปีพึ่งดำเนินการผลิตเมื่อเดือนพ.ย.60 ทำให้งบในไตรมาส 3 ยังไม่รับรู้รายได้โรงไฟฟ้าที่ 4 ส่วนในไตรมาส 4 ก็จะรับรู้รายได้ไม่เต็มไตรมาส ดังนั้นจะรับรู้รายได้โรงไฟฟ้าทั้งหมดที่เปิดในปีก่อนหน้าอย่างเต็มปีในปีถัดไป
ส่วนกลุ่มบริษัท กัลฟ์ เอ็มพี จำกัด มีโรงไฟฟ้าทั้งหมด 12 โรง ทยอยเปิด 3 ปี จำนวนปีละ 4 โรง เพื่อให้สร้างโรงไฟฟ้าได้ถูกต้อง ประหยัดค่าใช้จ่าย และสร้างเสร็จทันตามกำหนด เพราะฉะนั้นใน 3 ปีนี้จะมีกำลังการผลิตทยอยเข้าปีละ 4 โรง ซึ่งสำเร็จแล้วในปี 60 ที่ทั้ง 4 โรงได้ COD ตามแผนเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ดังนั้นในปี 61 คาดว่าจะมีรายได้แตะระดับหมื่นล้านบาท ขณะที่ปี 64 ก็จะมีโรงไฟฟ้า SPP ทั้ง 12 โรงดำเนินการผลิตเต็มปี ก็จะทำให้มีรายได้ประมาณ 3 หมื่นล้านบาท
สำหรับผลการดำเนินงานงวด 9 เดือนปี 60 มีกำไร 2.47 พันล้านบาท เพิ่มขึ้นจากงวด 9 เดือนปี 59 มีกำไร 557.71 ล้านบาท และเติบโตสูงกว่ากำไรทั้งปี 59 ซึ่งมีกำไรอยู่ที่ 417.56 ล้านบาท
ด้านราคาหุ้น BGRIM ปิดตลาดอยู่ที่ 29.25 บาท บวก 0.25 บาท หรือ 0.86% สูงสุดที่ 30.25 บาท ต่ำสุดที่ 28.75 บาท มูลค่าซื้อขาย 1.82 พันล้านบาท ปรับตัวขึ้นทำจุดสูงสุดตั้งแต่เข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) เมื่อวันที่ 19 ก.ค.60 จากราคา IPO ที่ 16 บาท
โดย บล.เอเชีย เวลท์ ระบุในบทวิเคราะห์ BGRIM ยังคงมีแนวโน้มหลักอยู่ในแนวโน้มขาขึ้น (Uptrend) อย่างชัดเจน จากการเกิดทั้ง Daily, Weekly, & Monthly Buy Signal เมื่อพิจารณา Price Pattern ของ BGRIM ยังคงบ่งบอกถึงการทำ New High ได้อย่างต่อเนื่อง
ทั้งนี้มีเป้าหมายสำคัญของการทำ New High อยู่ที่ 31.25 บาท ทั้งนี้ BGRIM มีจุด Stop Loss ระยะสั้นอยู่ที่ 26 บาท (แนวต้าน : 29.50, 30.00, 30.50; แนวรับ: 28.50, 28.00, 27.50)
โดย BGRIM เป็นผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็ก (SPP) ปัจจุบันมีกำลังการผลิตไฟฟ้าติดตั้งรวม 1,646 MW และมีแผนจะเพิ่มเป็น 2,482 MW ภายในปี 65 หรือเพิ่มขึ้น 51% ในระยะเวลา 5 ปี โดย BGRIM เปิดเผยว่า ได้ลงนามความร่วมมือ (MOU) และอยู่ระหว่างการเจรจาเพื่อลงทุนพัฒนาโรงไฟฟ้าใน 3 ประเทศอีกกว่า 1,000 MW จึงคาดว่าบริษัทจะรายงานกำไรสุทธิในปี 60 เท่ากับ 2,271 ล้านบาท และปี 61 เท่ากับ 2,869 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 64% เทียบจากปีก่อนและ 26% เทียบจากปีก่อน ตามลำดับ
นอกจากนี้ปรับราคาเป้าหมายขึ้นจาก 28 บาทต่อหุ้น เป็น 33 บาทต่อหุ้น โดยปรับสมมติฐานให้สอดคล้องกับความเป็นจริงมากขึ้นว่าบริษัทสามารถลงทุนและต่อสัญญาซื้อขายไฟฟ้าได้เท่ากับ 100% ของกำลังไฟฟ้าติดตั้งที่มีอยู่ในมือ จากเดิมที่ใช้สมมติฐานแบบอนุรักษ์นิยมว่าบริษัทสามารถต่อสัญญาซื้อขายไฟฟ้าได้เพียง 50% – 80% ของกำลังไฟฟ้าติดตั้งที่มีอยู่ในมือ
ส่วนราคาหุ้น EA ปิดตลาดอยู่ที่ 52.75 บาท บวก 0.75 บาท หรือ 1.38% สูงสุดที่ 74 บาท ต่ำสุดที่ 71.50 บาท ด้วยมูลค่าซื้อขาย 759.85 ล้านบาท ปรับตัวขึ้นทำจุดสูงสุดตั้งแต่เข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) เมื่อวันที่ 18 พ.ค.58 จากราคา IPO ที่ 5.50 บาท
โดยก่อนหน้า นายอมร ทรัพย์ทวีกุล รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร EA เปิดเผยว่า ในช่วงไตรมาส 4/60 คาดผลประกอบการจะออกมาดีกว่าช่วงไตรมาสอื่นๆ ของปี เนื่องจากปริมาณฝนที่ลดลง ประกอบกับอุณหภูมิลดต่ำลง ซึ่งจะส่งผลดีต่อการผลิตไฟฟ้าจากพลังแสงอาทิตย์ รวมถึงในช่วงปลายปียังมีกำลังลมมากกว่าในช่วงอื่นๆ ของปี ส่งผลให้บริษัท มีกำลังการผลิตดีกว่าช่วงที่ผ่านมา คาดว่าจะทำให้รายได้ของทั้งปี 60 สามารถเติบโตได้ตามแผนที่วางไว้ที่ 27%
นอกจากนี้คาดว่ารายได้ในปี 61 จะเติบโตราว 20-30% ตามการรับรู้กำลังผลิตไฟฟ้าเข้ามามากขึ้น โดยเฉพาะในช่วงปลายปีโรงไฟฟ้าพลังงานลม “หนุมาน” กำลังผลิต 260 เมกะวัตต์ (MW) จะเริ่มจ่ายไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ (COD) พร้อมตั้งงบลงทุนราว 1.5 – 2 หมื่นล้านบาทเพื่อพัฒนาโครงการพลังงานทดแทน และตั้งโรงงานแบตเตอรี่เฟสแรก
สำหรับผลการดำเนินงานงวด 9 เดือนปี 60 มีกำไร 2.92 พันล้านบาท เพิ่มขึ้นจากงวด 9 เดือนปี 59 มีกำไร 2.42 พันล้านบาท ขณะที่ไตรมาส 4/59 บริษัทมีกำไรอยู่ที่ 830.24 ล้านบาท และกำไรปี 59 อยู่ที่ 3.25 พันล้านบาท
ดังนั้น “ข่าวหุ้นธุรกิจออนไลน์” ได้คำนวณกำไรสุทธิของปี 60 เบื้องต้น โดยเปรียบเทียบจากช่วงปี 59 ที่บริษัทมีกำไรสุทธิในไตรมาส 4/59 อยู่ที่ 830.24 ล้านบาท รวมกับงวด 9 เดือนแรกปี 60 มีกำไรอยู่ที่ 2.92 พันล้านบาท จึงเท่ากับว่าในปี 60 บริษัทจะมีกำไรสุทธิอย่างน้อยอยู่ที่ประมาณ 3.75 พันล้านบาท
ขณะเดียวกันราคาหุ้น GPSC ปิดตลาดอยู่ที่ 73.25 บาท บวก 1 บาท หรือ 1.38% สูงสุดที่ 74 บาท ต่ำสุดที่ 71.50 บาท ด้วยมูลค่าซื้อขาย 759.85 ล้านบาท ปรับตัวขึ้นทำจุดสูงสุดตั้งแต่เข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) เมื่อวันที่ 18 พ.ค.58 จากราคา IPO ที่ 27 บาท
โดย บล.แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ ระบุในบทวิเคราะห์ แนะนำ “ถือ” GPSC สำหรับการลงทุนระยะยาว เนื่องจากราคาหุ้นสูงเกินกว่าราคาเป้าหมายที่ บล.แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ปรับใหม่เพิ่มเป็น 52 บาท
ทั้งนี้คาดว่ากำไรในไตรมาส 4/60 และปี 61 จะเติบโตต่อเนื่อง ตามแนวโน้มค่า Ft ปรับตัวสูงขึ้น ตามต้นทุนก๊าซที่เพิ่มขึ้น ส่งผลดีทำให้ spread ของก๊าซเพิ่มขึ้น ผลักดันให้ GPM สูงขึ้น และกำลังผลิตที่เพิ่มขึ้นของโรงไฟฟ้าใหม่ซึ่งกำหนดการผลิตยังเป็นไปตามแผน
รวมทั้งจ่ายปันผลสม่ำเสมอ โดยให้ Dividend Yield ราว 2-3% ต่อปี และมี Upside จากธุรกิจผลิตแบตเตอรี่ ที่ใช้เทคโนโลยีของ 24 Technologies Inc. (24 M) ซึ่งยังไม่รวมอยู่ในประมาณการ
ส่วนผลการดำเนินงานงวด 9 เดือนปี 60 มีกำไร 2.45 พันล้านบาท เพิ่มขึ้นจากงวด 9 เดือนปี 59 มีกำไร 2.28 พันล้านบาท ขณะที่ไตรมาส 4/59 บริษัทมีกำไรอยู่ที่ 419 ล้านบาท และกำไรปี 59 อยู่ที่ 2.70 พันล้านบาท
ดังนั้น “ข่าวหุ้นธุรกิจออนไลน์” ได้คำนวณกำไรสุทธิของปี 60 เบื้องต้น โดยเปรียบเทียบจากช่วงปี 59 ที่บริษัทมีกำไรสุทธิในไตรมาส 4/59 อยู่ที่ 419 ล้านบาท รวมกับงวด 9 เดือนแรกปี 60 มีกำไรอยู่ที่ 2.45 พันล้านบาท จึงเท่ากับว่าในปี 60 บริษัทจะมีกำไรสุทธิอย่างน้อยอยู่ที่ประมาณ 2.9 พันล้านบาท