ลุยซื้อ! 6 หุ้น mai กำไรปี 61 โตแรง ขานรับกำลังซื้อฟื้นตัว
ลุยซื้อ! 6 หุ้น mai กำไรปี 61 โตแรง ขานรับกำลังซื้อฟื้นตัว ฟากโบรกฯ เชียร์ “ซื้อ” ชูพื้นฐานธุรกิจปี 61 โดดเด่น คาดฟันกำไรโตแกร่งทุกตัว
“ข่าวหุ้นธุรกิจออนไลน์” ได้ทำการรวบรวมข้อมูลหุ้นเด่นในตลาดหลักทรัพ เอ็ม เอ ไอ (mai) ที่มีแนวโน้มผลประกอบการเติบโตโดดเด่นในปี 2561 โดยกลุ่มที่น่าสนใจจะเข้าลงทุนในไตรมาส 1/2561 ของ mai คือ กลุ่มอสังหาริมทรัพย์ และการก่อสร้าง และกลุ่มบริการ รวมถึงกลุ่มเทคโนโลยี โดยกลุ่มอสังหาริมทรัพย์และการก่อสร้างจะได้แรงหนุนจากงานประมูลโครงสร้างพื้นฐาน และโครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก หรือ EEC
ส่วนกลุ่มบริการที่จะได้แรงหนุนจากการฟื้นตัวของกำลังซื้อในประเทศ และกลุ่มเทคโนโลยีจะได้รับปัจจัยบวกต่อเนื่องจากการปรับตัวของธุรกิจแบบดั้งเดิมเข้าเพื่อเข้าสู่ยุคดิจิทัล ดังนั้น จึงถือว่าเป็นช่วงเวลาที่จะให้น้ำหนักการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ mai
ด้านนักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ ฟินันเซีย ไซรัส จำกัด (มหาชน) ระบุว่า ขณะนี้ได้เลือก 6 หลักทรัพย์ ที่เป็น “Top Pick” ของตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) ได้แก่
- บริษัท เอทีพี 30 จำกัด (มหาชน) หรือ ATP30
- บริษัท แอร์โรว์ ซินดิเคท จำกัด (มหาชน) หรือ ARROW
- บริษัท โคแมนชี่ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) หรือ COMAN
- บริษัท ซีเอ็มโอ จำกัด (มหาชน) หรือ CMO
- บริษัท เมกาเคม (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ MGT
- บริษัท โปรเจค แพลนนิ่ง เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ PPS
สำหรับหุ้น ATP30 กำหนดคำแนะนำ “ซื้อ” ให้ราคาเป้าหมาย 2 บาท โดยคาดงวดไตรมาส 4/2560 จะเป็นสถิติสูงสุดในรอบปี ซึ่งเป็นผลจากการรับรู้รายได้ Autoliv ที่เป็นลูกค้ารายใหญ่แบบเต็มไตรมาส อีกทั้งยังได้บริษัท ปูนซีเมนต์นครหลวง จำกัด (มหาชน) หรือ SCCC ซึ่งเป็นลูกค้าใหม่เพิ่มเข้ามา
ดังนั้น จึงคาดว่าในงวดปี 2560 จะมีกำไรสุทธิ 24 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 11% จากงวดปี 2559 ที่มีกำไรสุทธิ 21 ล้านบาท ขณะที่ในปี 2561 คาดว่าจะมีกำไรสุทธิ 35 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 46% จากปี 2560 ซึ่งเป็นผลจากการรับรู้รายได้การให้บริการที่เพิ่มขึ้นของบริษัท ไออาร์พีซี จำกัด (มหาชน) หรือ IRPC และบริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) หรือ TOP รวมถึงลูกค้ารายใหม่จาก BSTMT
ด้านหุ้น ARROW แนะนำ “ซื้อ” โดยประเมินราคาเป้าหมายไว้ที่ 16.40 บาท โดยคาดว่าแนวโน้มกำไรสุทธิในปี 2561 จะทำได้ 259 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 24% จากปี 2560 เนื่องจากการฟื้นตัวของงานก่อสร้าง และการปรับขึ้นราคาสินค้า เพื่อให้สะท้อนกับต้นทุนได้ในระดับที่ดี รวมถึงได้เพิ่มสินค้าใหม่ในกลุ่มท่อร้อยสายไฟใต้ดิน และท่อโครงสร้างอาคารเข้ามา
ส่วนงวดปี 2560 กำไรจะอยู่ที่ 208 ล้านบาท ลดลง 21% จากงวดปี 2559 ที่มีกำไรสุทธิ 262 ล้านบาท โดยถือในช่วงปี 2560 เป็นจุดต่ำสุดของการดำเนินธุรกิจ ซึ่งได้รับผลกระทบจากต้นทุนเหล็กที่ปรับเพิ่มขึ้น และการเปลี่ยนวิธีบันทึกบัญชีสินค้าคงเหลือ ซึ่งฝ่ายวิเคราะห์เชื่อว่าจะเห็นการฟื้นตัวของกำไรสุทธิได้ตั้งแต่งวดไตรมาส 4/2560 เป็นต้นไป
ขณะที่หุ้น COMAN กำหนดคำแนะนำ “ซื้อ” ที่ราคาเป้าหมาย 9 บาทต่อหุ้น โดยคาดว่ากำไรสุทธิในไตรมาส 4/2560 จะออกมาดีกว่าที่คาดการณ์ เพราะ COMAN สามารถปิดงานขายซอฟต์แวร์โรงแรม และร้านอาหารให้กับลูกค้าได้มากขึ้น เพราะธุรกิจโรงแรมและเกสต์เฮาส์มีการขยายตัว
ทั้งนี้ คาดกำไรสุทธิในปี 2561 จะทำได้ 42 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 93% จากปี 2560 ส่วนงวดปี 2562 จะมีกำไรสุทธิ 51 ล้านบาท ซึ่งเติบโตต่อเนื่องอีก 20% จากปี 2561 ตามการขยายตัวของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวที่คาดจะเติบโตปีละประมาณ 10% อีกทั้งการเข้าซื้อกิจการที่เกี่ยวเนื่องกันนั้นจะทำให้ COMAN เป็นผู้นำซอฟต์แวร์ในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวแบบครบวงจร
ส่วนหุ้น CMO กำหนดคำแนะนำ “ซื้อ” ที่ราคาเป้าหมาย 3 บาท โดยฝ่ายวิเคราะห์คาดปี 2560 จะสามารถพลิกกลับมีกำไรสุทธิ จำนวน 35 ล้านบาท โดยถือว่าผลประกอบการได้ผ่านจุดต่ำสุดไปแล้วในปี 2559 ขณะดียวกันคาดว่าในปี 2561 จะมีกำไรสุทธิ 44 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 26% จากปี 2560 ซึ่งเป็นผลจากอุตสากรรมการจัดงานอีเว้นท์ที่จะเติบโต 10% จากปี 2560 อีกทั้งบริษัทได้วางกลยุทธ์เจาะลูกค้าต่างประเทศ รวมถึงมีผลขาดทุนของบริษัทลูกที่ลดลง
ด้านหุ้น MGT ได้กำหนดคำแนะนำ “ซื้อ” ประเมินราคาเป้าหมายไว้ที่ 3 บาทต่อหุ้น จากการที่มียอดนำเข้าเคมีภัณฑ์ที่เป็นตัวเร่งปฏิกิริยา ซึ่งสามารถใช้เป็นตัวชี้วัดการขยายตัวของอุตสาหกรรมเคมีภัณฑ์ชนิดพิเศษของ MGT มีอัตราการนำเข้าที่เพิ่มขึ้นกว่า 28% ในช่วงเดือน พ.ย. 2560 ที่ผ่านมา
ดังนั้น จึงคาดในไตรมาส 4/2560 จะมีกำไรสุทธิ 12 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 73% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยคาดว่าใน ปี 2560 จะมีกำไรสุทธิ 47 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 42% จากงวดปี 2559 และงวดปี 2561 จะมีกำไรสุทธิ 60 ล้านบาท ปรับเพิ่มขึ้น 28% โดยในปี 2561 จะได้แรงหนุนของ Supply Chain ทั้งระบบ ซึ่งเป็นผลจากการทยอยกลับมาฟื้นตัวของกลุ่มลูกค้าหลักโดยเฉพาะในกลุ่มปิโตรเคมี และกลุ่มสีที่ใช้ในรถยนต์
ส่วนหุ้น PPS กำหนดคำแนะนำ “ซื้อ” ที่ราคาเป้าหมาย 2.50 บาทต่อหุ้น โดยปัจจุบัน PPS มีงานในมือ 447 ล้านบาท ซึ่งทยอยรับรู้ในไตรมาส 4/2561 ต่อเนื่องไปจนถึงปี 2562 อีกทั้งยังเห็นโอกาสในการรับงานที่เพิ่มขึ้นจากโครงการภาครัฐที่จะทยอยออกมา ได้แก่ รถไฟทางคู่ รถไฟฟ้าความเร็วสูง รถไฟฟ้าสายสีม่วง และงานส่วนเพิ่มของการขยายสนามบินสุวรรณภูมิเฟส 2
อย่างไรก็ตาม ฝ่ายวิเคราะห์จึงยังมีมุมมองในเชิงบวกต่ออุตสาหกรรมก่อสร้างในช่วง 2-3 ปีข้างหน้า ซึ่งจะทำให้อัตรากำไรจะยังคงอยู่ในระดับสูง เพราะมีปริมาณงานที่ออกมามาก จึงทำให้เกิดการประหยัดต่อขนาด และทำให้กำไรสุทธิในปี 2561-2563 จะเติบโตเฉลี่ยปีละ 31%