GULF ดาวเด่นธุรกิจไฟฟ้า โบรกฯวางเป้า 80 บาท ตอกย้ำกำไรโต 6 เท่าตัว!
“GULF” กลับมาเทรดคึกคัก เมินติดแคชบาลานซ์ยาว 16 ก.พ. 61 วงในย้ำพื้นฐานธุรกิจแกร่ง คาดกำไรโตทุกไตรมาสขานรับกำลังการผลิตเพิ่มต่อเนื่อง โบรกฯเชียร์ “ซื้อ” เป้าราคา 80 บาท คาดปี 61-68 กำไรโต 6 เท่าตัว จาก 2,900 ล้านบาท พุ่งทะยาน 18,000 ล้านบาท
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ความเคลื่อนไหวราคาหุ้นบริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ GULF เมื่อวานนี้ (10 มกราคม 2561) ระหว่างวันปรับขึ้นไปสูงสุดที่ 70 บาท ก่อนมาปิดตลาดที่ 69.75 บาท เพิ่มขึ้น 1.75 บาท หรือปรับเพิ่มขึ้น 2.57% มูลค่าการซื้อขาย 1,112.30 ล้านบาท ซึ่งเป็นวันแรกที่ราคาหุ้นปรับเพิ่มขึ้น และมีมูลค่าการซื้อขายสูงหลังจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ได้ประกาศให้หุ้น GULF เป็นหลักทรัพย์ที่เข้าข่ายมาตรการกำกับการซื้อขายระดับ 1 คือ ต้องวางเงินสดไว้ล่วงหน้าเต็มจำนวนก่อนการซื้อ (แคชบาลานซ์) โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 8 มกราคม-16 กุมภาพันธ์ 2561 หรือ 6 สัปดาห์
ขณะที่ก่อนหน้านี้ ราคาหุ้น GULF มีการปรับลดลงอย่างต่อเนื่อง โดยเมื่อวันที่ 5 มกราคม ปิดตลาดที่ 68.75 บาท ลดลง 0.50 บาท หรือปรับลดลง 0.72% มีมูลค่าการซื้อขาย 2,014.87 ล้านบาท, เมื่อวันที่ 8 มกราคม ปิดตลาดที่ 68.25 บาท ลดลง 0.50 บาท หรือปรับลดลง 0.73% มีมูลค่าการซื้อขาย 671.42 ล้านบาท และเมื่อวันที่ 9 มกราคม ปิดตลาดที่ 68 บาท ลดลง 0.25 บาท หรือปรับลดลง 0.37% มีมูลค่าการซื้อขาย 305.18 ล้านบาท
แหล่งข่าววงการเงิน เปิดเผยว่า พื้นฐานธุรกิจของ GULF ยังมีการเติบโตจากขยายกำลังการผลิตอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะส่งผลให้มีกำไรเติบโตทุกไตรมาส โดยก่อนหน้านี้ นายรัฐพล ชื่นสมจิตต์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ GULF กล่าวว่า บริษัทตั้งเป้าหมายจะมีขนาดกำลังการผลิตไฟฟ้าเพิ่มเป็น 11,125 เมกะวัตต์ ภายในปี 2567 จากปี 2560 ที่มีกำลังการผลิตและการดำเนินการจ่ายไฟฟ้าเข้าระบบเชิงพาณิชย์ (COD) แล้วจำนวน 4,772 เมกะวัตต์
โดยในปี 2561 จะมีการเปิดอีก 4 โรง รวมกำลังการผลิตประมาณ 510 เมกะวัตต์ (MW) หรือไตรมาสละ 1 โรง และในปี 2562 จะมีการเปิดอีก 4 โรง รวมกำลังการผลิต 510 เมกะวัตต์ จะทำให้ในปี 2561-2562 มีกำลังการผลิตเพิ่มขึ้นกว่า 1,000 เมกะวัตต์ ซึ่งทั้ง 8 โครงการน่าจะเป็นกำลังการผลิตที่เป็นส่วนของบริษัทประมาณ 700-800 เมกะวัตต์ ตามสัดส่วนการถือหุ้นของบริษัทประมาณคร่าวๆ 70-80%
ทั้งนี้ จากกำลังการผลิตที่มีการ COD แล้วในปี 2560 จำนวน 4,772 เมกะวัตต์ เป็นสัดส่วนของบริษัทจำนวน 1,800 เมกะวัตต์ ดังนั้น ภายในปี 2562 จะมีกำลังการผลิตที่เป็นส่วนของบริษัทเพิ่มเป็นประมาณ 2,600 เมกะวัตต์ สำหรับกำลังการผลิตที่มีประมาณ 1,800 เมกะวัตต์ สามารถทำรายได้กว่า 2,400 ล้านบาท ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2560 ซึ่งในปี 2560 จะมีการรับรู้รายได้จากกำลังการผลิตเต็มทั้งปีประมาณ 4,000 เมกะวัตต์ ส่วนอีกประมาณ 500 เมกะวัตต์จะไปรับรู้เต็มปีในปี 2561 และจะมีการรับรู้รายได้จากกำลังผลิตได้เต็มปีของโรงไฟฟ้า SPP ทั้งหมดในปี 2563 ก่อนที่จะมีโรงไฟฟ้า IPP ขนาดกำลังการผลิต 5,000 เมกะวัตต์ทยอยเข้ามาเพิ่มในปี 2564
ด้าน นักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ บัวหลวง จำกัด (มหาชน) ประเมินว่า ราคาหุ้น GULF ยังสามารถวิ่งขึ้นต่อได้อีก เนื่องจาก GULF มีกำลังการผลิตและภาพกำไรโดดเด่นที่สุดในกลุ่มโรงไฟฟ้า โดยคาดกำไรจะขยายตัวมากถึง 600% หรือ 6 เท่าตัว ระหว่างปี 2561-2568 จาก 2,909 ล้านบาท เป็น 18,070 ล้านบาท อีกทั้งมูลค่าหุ้น ณ ปัจจุบันชี้ถึงอัตราส่วนราคาหุ้นต่อกำไรสุทธิของกลุ่ม (PEG) ที่ต่ำที่สุดในกลุ่มโรงไฟฟ้าที่ติดตาม จึงเริ่มต้นคำแนะนำ “ซื้อ” หุ้น GULF และเลือกให้เป็นบริษัทที่ชอบมากที่สุดในกลุ่มฯ ให้ราคาเป้าหมายสิ้นปี 2561 ที่ 80 บาทต่อหุ้น
อีกทั้งเมื่อกำลังการผลิตที่บริษัทมีทั้งหมดเริ่มขายไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ได้ GULF จะเป็นผู้ประกอบการโรงไฟฟ้าที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทยทั้งในประเภท IPP และ SPP โดยกำลังการผลิตของบริษัทจะขยายมากกว่าเท่าตัวในปี 2568 ขณะที่กำลังการผลิตของบริษัทในกลุ่มฯ ที่เราให้คำแนะนำเติบโตเฉลี่ยอยู่ที่เพียง 20.60% นอกจากนี้กำลังการผลิตใหม่ทั้งหมดถูกการันตีโดยสัญญาซื้อขายไฟฟ้ากับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) แล้ว ดังนั้น จึงยังไม่เห็นความเสี่ยงจากการเลื่อนวันเริ่มจำหน่ายไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ที่จะเกิดขึ้นจากการปรับแผนการพัฒนากำลังการผลิตไฟฟ้าของประเทศ (พีดีพี)
นอกเหนือจากภาพกำไรที่เติบโตโดดเด่น แนวโน้มธุรกิจของบริษัทยังมีอัพไซด์ต่อประมาณการ จาก 1.ต้นทุนทางการเงินของ GULF ที่อยู่ในระดับสูงในราว 5.20-5.50% เทียบกับของค่าเฉลี่ยกลุ่มฯ ที่ระหว่าง 4-4.50% จึงเชื่อว่าภาวะอัตราดอกเบี้ยต่ำ ณ ปัจจุบัน จะหนุนให้บริษัทขอปรับลดอัตราดอกเบี้ยจ่าย (รีไฟแนนซ์) หรือออกพันธบัตรที่ต้นทุนทางการเงินต่ำลงได้, 2.หากค่าไฟฟ้าผันแปรอัตโนมัติ (Ft) ปรับตัวสูงกว่าสันนิษฐานของเราที่คาดเติบโตเฉลี่ย 2.30% ต่อปี และ 3.โอกาสที่จะได้กำลังการผลิตใหม่เข้ามาในอนาคต