CHOW บวกแรง 9% ลุ้น Q4 สุดพีค ตามบุ๊คขายสินทรัพย์ให้อินฟราฯฟันด์ญี่ปุ่น 622 ล้าน
CHOW บวกแรง 9% ลุ้น Q4 สุดพีค ตามบุ๊คขายสินทรัพย์ให้อินฟราฯฟันด์ญี่ปุ่น 622 ล้าน โดย ณ เวลา 11.38 น. อยู่ที่ระดับ 5.15 บาท บวก 0.43 บาท หรือ 9.11% ด้วยมูลค่าซื้อขาย 7.21 ล้านบาท
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า บริษัท เชาว์ สตีล อินดัสทรี้ จำกัด (มหาชน) หรือ CHOW ณ เวลา 11.38 น. อยู่ที่ระดับ 5.15 บาท บวก 0.43 บาท หรือ 9.11% ด้วยมูลค่าซื้อขาย 7.21 ล้านบาท คาดเก็งกำไรหลังหุ้นอ่อนตัวมาเกือบ 2 เดือนนับตั้งแต่ยืนที่ระดับ 6.00 บาท เมื่อวันที่ 3 พ.ย.60
นายอนาวิล จิรธรรมศิริ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท เชาว์ สตีล อินดัสทรี้ จำกัด (มหาชน) หรือ CHOW เปิดเผยว่า ขณะนี้บริษัทได้รับชำระเงินค่าขายโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ จำนวน 2 โครงการ จากกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานที่ประเทศญี่ปุ่น จำนวน 2,040 ล้านเยน หรือประมาณ 622 ล้านบาท ครบทั้งจำนวนเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เมื่อวันที่ 16 ตุลาคม 2560 ดังนั้นจะส่งผลให้ผลประกอบการของบริษัทในงวดไตรมาส 4/60 เติบโตอย่างมีนัยสำคัญ
โดยก่อนหน้านี้ เมื่อวันที่ 30 ส.ค. 2560 ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท ครั้งที่ 5/2560 ได้มีมติอนุมัติให้บริษัทขายโครงการผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ (โซลาร์ฟาร์ม) ที่ประเทศญี่ปุ่น จำนวน 2 โครงการ ขนาดกำลังการผลิตรวม 4.43 เมกะวัตต์ (MW) ให้แก่กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานในประเทศญี่ปุ่น มูลค่าประมาณ 2,040 ล้านเยน หรือเทียบเท่า 622.86 ล้านบาท
ทั้งนี้ โครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ ทั้ง 2 โครงการ ประกอบด้วย
1.โครงการ Ibaraki กำลังการผลิต 1.17 MW โดยมีสัญญาซื้อขายไฟฟ้าในรูปแบบ Feed-in Tariff ระยะเวลา 18 ปี กับ Ministry of Economy, Trade and Industry (METI) อัตรารับซื้อไฟฟ้า 36 เยนต่อหน่วย จำหน่ายไฟฟ้าเชิงพาณิชย์แล้วเมื่อวันที่ 10 กันยายน 2558 และ
2.โครงการ Oita กำลังการผลิต 3.26 MW มีสัญญาซื้อขายไฟฟ้าในรูปแบบ Feed-in Tariff ระยะเวลา 18 ปี กับ Ministry of Economy, Trade and Industry (METI) อัตรารับซื้อไฟฟ้า 40 เยนต่อหน่วย ซึ่งได้มีการจำหน่ายไฟฟ้าเชิงพาณิชย์แล้วเมื่อวันที่ 5 มิ.ย. 2558
นายอนาวิล กล่าวอีกว่า การขายโครงการโรงไฟฟ้าทั้ง 2 แห่งในครั้งนี้ เป็นการช่วยสร้างมูลค่าและสร้างผลกำไรจากการลงทุน เนื่องจากปัจจุบันโครงการโรงไฟฟ้าจากพลังงานทดแทนได้รับความสนใจจากกองทุนประเภทโครงสร้างพื้นฐานในประเทศญี่ปุ่น เป็นอย่างมาก โดยบริษัทสามารถนำกระแสเงินสดที่ได้จากการขายสินทรัพย์ดังกล่าวไปเพิ่มโอกาสในการสร้างผลตอบแทนจากการลงทุนในโครงการอื่นที่สามารถช่วยสร้างกำไรให้กับบริษัท และผู้ถือหุ้นได้ดีกว่าเดิม
อีกทั้งจะนำเงินไปชำระหนี้ที่เกิดจากการลงทุนในโครงการก่อนหน้านี้ ซึ่งจะมีผลทำให้ลดภาระอัตราดอกเบี้ยจ่ายลง รวมถึงยังสามารถนำไปขยายธุรกิจได้อย่างคล่องตัวยิ่งขึ้น โดยในปี 2560 บริษัทมีเป้าหมายจะก่อสร้างโรงไฟฟ้าในประเทศญี่ปุ่นให้มีกำลังผลิตรวมไม่น้อยกว่า 100 MW เพื่อสร้างรายได้จากธุรกิจพลังงานให้เติบโตก้าวกระโดดอย่างมีนัยสำคัญ
นอกจากนี้ บริษัทอยู่ระหว่างการเจรจาที่จะนำโครงการโรงไฟฟ้าของบริษัทขายให้กับกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานที่ประเทศญี่ปุ่นอีก เนื่องจากขณะนี้มีโครงการโรงไฟฟ้าที่อยู่ระหว่างดำเนินการเชิงพาณิชย์ และโครงการโรงไฟฟ้าที่กำลังพัฒนา ซึ่งการขายสินทรัพย์ดังกล่าว จะช่วยให้บริษัทสามารถรับรู้ผลกำไรของการดำเนินงานโครงการได้