AGE ปักธงรายได้ปี 61 โต 25% หลังบ.ย่อยในเวียดนามเปิดบริการ เล็งรุกตลาดกัมพูชา
AGE ตั้งเป้ายอดขายถ่านหินปีนี้แตะ 3 แสนตัน จากเดิมราว 2.5 แสนตัน พร้อมปักธงรายได้โต 25% หลังบ.ย่อยในเวียดนามเปิดบริการ-รับอานิสงส์ค่าเงินบาทแข็งค่า พร้อมเล็งรุกตลาดกัมพูชา
นางสาวปณิตา ควรสถาพร ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัท เอเชีย กรีน เอนเนอจี จำกัด (มหาชน) หรือ AGE เปิดเผยว่า บริษัทตั้งเป้าหมายปริมาณขายถ่านหินในปีนี้ที่ 3 ล้านตัน เพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่ทำได้ราว 2.5 ล้านตัน ต่ำกว่าเป้าหมายเดิมเล็กน้อย หลังจากที่การจัดตั้งบริษัทร่วมทุนในจีนมีความล่าช้ากว่าแผนมาเสร็จในช่วงไตรมาส 1/61
อย่างไรก็ตาม ในส่วนของรายได้รวมของบริษัทในปีที่แล้วทำได้ตามเป้าโดยเติบโตเกือบ 25-30% จากปี 59 และในปี 61 คาดว่ารายได้รวมจะเติบโตได้อีก 20-25% ตามปริมาณขายถ่านหินที่เพิ่มขึ้น หลังรุกตลาดจีน,เวียดนาม และอินเดีย มากขึ้น รวมถึงยังมองโอกาสการขยายเข้าไปในตลาดกัมพูชาด้วย
“รายได้รวมปีนี้ตั้งเป้าโต 20-25% ก็จะมีส่วนเพิ่มจากบริษัทลูกในเวียดนาม ที่ได้เปิดดำเนินการแล้ว เราไปตั้งบริษัทลูกในเวียดนามก็มีคลังสินค้า และโรงงานคัดร่อน ตอนนี้ก็เริ่มขายแล้ว ปีนี้เราตั้งยอดขายที่เวียดนามไว้ที่ 2 แสนตัน ส่วนจีน 3 แสนตัน ที่จีนตอนนี้อยู่ในกระบวนการของการจัดตั้งบริษัทน่าจะเสร็จในไตรมาส 1/61 จากเดิมที่คาดว่าจะเสร็จตั้งแต่ปีที่แล้ว แต่ก็มีความล่าช้าในเรื่องกระบวนการเล็กน้อย”นางสาวปณิตา กล่าว
สำหรับเป้าหมายปริมาณขายถ่านหินในปีนี้ที่ระดับ 3 ล้านตัน จะเป็นการขายในประเทศราว 2.5 ล้านตัน ,ปริมาณขายในจีน 3 แสนตัน และปริมาณขายในเวียดนาม 2 แสนตัน โดยในเวียดนามบริษัทได้จัดตั้งบริษัทเพื่อจำหน่ายถ่านหิน ถือหุ้นทั้ง 100% มีพื้นที่กองเก็บถ่านหิน โรงงานคัดร่อน พื้นที่รวมประมาณ 30 ไร่ เช่าพื้นที่อยู่บริเวณท่าเรือ ทางเวียดนามใต้ ใกล้กับเมืองโฮจิมินห์ โดยมีพื้นที่กองเก็บถ่านหินได้ 1 แสนตัน
โดยตลาดในเวียดนามมีการใช้ถ่านหินเพิ่มขึ้นต่อเนื่องตามแผนการสร้างโรงไฟฟ้า โดยในปี 60 มีปริมาณการใช้ถ่านหินเกือบ 55 ล้านตัน โดยเป็นการนำเข้า 13 ล้านตัน และปี 61 คาดว่าจะใช้ถ่านหินเพิ่มเป็น 63 ล้านตัน โดยเป็นการนำเข้าถ่านหินราว 20 ล้านตัน
ขณะเดียวกันก็มีผู้ดำเนินการถ่านหินในตลาดหลายราย แต่ด้วยความที่บริษัทอยู่ในธุรกิจถ่านหินมาเป็นเวลากว่าสิบปี ก็มีความมั่นใจว่าจะสามารถแข่งขันในตลาดได้ โดยการรุกไปยังตลาดเวียดนามครั้งนี้ก็เชื่อว่าจะผลักดันให้สัดส่วนปริมาณขายถ่านหินในต่างประเทศในปีนี้เพิ่มเป็น 30% จาก 20% ในปีที่แล้ว ขณะที่เป็นสัดส่วนการขายถ่านหินในประเทศ 70% จาก 80% ในปีที่แล้ว
ส่วนในจีน คาดว่าจะรุกตลาดได้มากขึ้น หลังจากการจัดตั้งบริษัทร่วมทุนกับพันธมิตรแล้วเสร็จในไตรมาส 1/61 นี้ ขณะที่อินเดียก็ยังคงเป็นตลาดหลักที่บริษัทให้ความสนใจเข้าไปรุกตลาดเช่นเดียวกัน พร้อมกับเริ่มมองโอกาสการขายในกัมพูชาด้วยซึ่งน่าจะเริ่มเห็นได้ในปีนี้ แต่คงเป็นลักษณะการขายให้รายย่อยในปริมาณไม่มากนัก ด้านตลาดในประเทศไทยปีที่แล้วยังคงอยู่ในระดับที่ดี ส่วนปีนี้คาดว่าจะยังรักษาระดับการขายในปกติ และขยายเข้าสู่โรงงานอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้น
ทั้งนี้ในปีที่แล้วบริษัทได้ลงทุนเรื่องเรือลำเลียงจำนวน 8 ลำ ซึ่งพร้อมให้บริการได้เต็มที่ในปีนี้ และในปีนี้ยังได้ต่อเรือเพิ่มอีก 4 ลำ ซึ่งคาดว่าจะใช้เงินลงทุนราว 72 ล้านบาท แล้วเสร็จในช่วงครึ่งแรกปีนี้ก็จะทำให้มีเรือพร้อมให้บริการเพิ่มเป็น 12 ลำ หนุนให้สัดส่วนรายได้จากธุรกิจให้บริการเพิ่มเป็น 5% ของรายได้รวมในปีนี้ จากที่อยู่ระดับกว่า 2% ของรายได้รวมในปีที่แล้ว ซึ่งการที่สัดส่วนรายได้จากธุรกิจให้บริการซึ่งมีมาร์จิ้นสูงเพิ่มขึ้น ก็จะช่วยหนุนกำไรของบริษัทได้ดีมากกว่าธุรกิจเทรดดิ้งถ่านหิน ซึ่งมีมาร์จิ้นต่ำกว่า
นอกจากนี้บริษัทยังเตรียมลงทุนปรับปรุงคลังสินค้าเพิ่มเติม หลังจากที่ในปีที่แล้วได้ซื้อที่ดินติดคลังสินค้ากว่า 100 ไร่ ก็จะพิจารณาดูว่าจะปรับปรุงพื้นที่ได้มากน้อยแค่ไหน เพื่อให้มีพื้นที่กองเก็บถ่านหินมากขึ้นเพื่อรองรับการขายในประเทศ และรองรับงานจากลูกค้าภายนอกบางส่วนด้วย
“ด้านกำไรเราคงพยายามจะรักษาให้อยู่ในสัดส่วนเดิมจากปีที่ผ่านมา การขายถ่านหินมีการแข่งขันในตลาดซึ่งเราจะต้องพิจารณาว่าจะทำอย่างไรให้ต้นทุนต่ำสุด เพราะถ่านหินเป็นราคา commodity เราคงไปเพิ่มราคาตรงนั้นไม่ได้ การเข้ามาทำธุรกิจการให้บริการที่มีมาร์จิ้นสูงกว่าเทรดดิ้ง ก็จะรักษาระดับกำไรให้ได้ในภาวะปกติ ผนวกกับเทรดดิ้งก็จะขยายตลาดให้มากขึ้นด้วย”นางสาวปณิตา กล่าว
สำหรับสถานการณ์ค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นในขณะนี้น่าจะส่งผลดีต่อบริษัท เพราะมีภาระหนี้เป็นสกุลดอลลาร์ และเป็นผู้นำเข้าสุทธิ (net import) แต่รับรู้รายได้ส่วนใหญ่เป็นเงินบาท อีกทั้งในช่วงที่ผ่านมาบริษัทก็ไม่ได้ทำป้องกันความเสี่ยงค่าเงินบาทมากนัก ทำให้คาดว่าจะผลการดำเนินงานจะไม่ถูกกระทบจากอัตราแลกเปลี่ยนมากเหมือนในช่วงไตรมาส 1/60 ที่ผ่านมาที่ได้รับผลขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนกว่า 40 ล้านบาทเพราะได้ทำประกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนไว้