ORI ปักธง 5 ปีรายได้แตะ 2.75 หมื่นลบ. เล็งนำบ.ย่อย “ดิจิตอล บัตเลอร์” เข้าระดมทุน ICO
ORI ตั้งเป้ารายได้ปีนี้ 1.5 หมื่นลบ. หลังรับรู้รายได้ยอดขายรอโอน 1 หมื่นลบ. ปักธง 5 ปีรายได้แตะ 2.75 หมื่นลบ. เล็งนำ "ดิจิตอล บัตเลอร์" เข้าระดมทุนในรูปแบบ ICO
นายพีระพงศ์ จรูญเอก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ ORI เปิดเผยว่า บริษัทตั้งเป้ารายได้ในช่วง 5 ปี (ปี 61-65) มีรายได้อยู่ที่ 2.75 หมื่นล้านบาท โดยจะปรับสัดส่วนรายได้ของบริษัทให้มีการกระจายตัวมากขึ้น โดยรายได้ที่มาจากการขายคอนโดมิเนียมจะอยู่ที่ 58.2% จากปีนี้ที่ 94% รายได้จากการขายโครงการบ้านเดี่ยวและทาวน์เฮาส์ที่ 36.4% เพิ่มขึ้นจากปีนี้ที่ 1% รายได้ประจำ (Recurring Income) ที่ 2.9% รายได้จากธุรกิจให้บริการเพิ่มเป็น 0.7% จากปีนี้ที่ 0.5% และรายได้อื่นๆ 1.8% จากปีนี้ที่ 5%
ส่วนยอดขายในปี 61 อยู่ที่ 2 หมื่นล้านบาท หรือเติบโต 34% จากปีก่อน โดยวางแผนเปิดโครงการใหม่ในปีนี้ทั้งหมด 14 โครงการ มูลค่าโครงการรวมกว่า 3 หมื่นล้านบาท แบ่งเป็น โครงการคอนโดมิเนียม 10 โครงการ มูลค่า 2.6 หมื่นล้านบาท และโครงการแนวราบ 4 โครงการ มูลค่า 4 พันล้านบาท พร้อมวางงบซื้อที่ดินปีนี้ที่ 1 หมื่นล้านบาท ใกล้เคียงกับปีก่อน
ขณะที่การพัฒนาโครงการภายใต้ The Empire of Origin ใน 3 ทำเลศักยภาพ ได้แก่ ทองหล่อ พร้อมพงษ์ และพญาไท มูลค่ารวม 7 หมื่นล้านบาท ซึ่งจะพัฒนาเป็นโครงการมิกซ์ยูส ผสานกับโครงการคอนโดมิเนียมระดับลักซ์ชัวรี่ เพื่อสร้างเป็นคอนเซ็ปต์ที่เป็นแฟล็กชิฟเรียกว่า “พาร์ค ออริจิ้น คอมเพล็กซ์” ซึ่งแต่ละทำเลจะใช้ระยะเวลาในการพัฒนาที่แตกต่างกันออกไป เช่น ทองหล่อ มูลค่า 3.7 หมื่นล้านบาท
โดยคาดว่าจะเริ่มก่อสร้างเฟสแรกซึ่งเป็นคอนโดมิเนียมในช่วงปลายปีนี้ และใช้ระยะเวลาในการพัฒนาทั้งโครงการบนที่ดินขนาดใหญ่ 13 ไร่ ราว 6 ปี ส่วนพร้อมพงษ์ มูลค่า 2.3 หมื่นล้านบาท คาดว่าจะเริ่มก่อสร้างภายไตรมาส 3/61 และคาดว่าใช้ระยะเวลาการพัฒนาพื้นที่ทั้งหมดทั้งสิ้นราว 2 ปี และพญาไท มูลค่า 1 หมื่นล้านบาท คาดว่าจะเริ่มก่อสร้างภายในปลายปีนี้ และจะสามารถพัฒนาโครงการในทำเลดังกล่าวได้เสร็จสิ้นภายในระยะเวลา 2 ปี
ด้านรายได้ของบริษัทในปี 61 ตั้งเป้าอยู่ที่ 1.5 หมื่นล้านบาท หรือเติบโต 67% จากปีก่อน โดยในปีนี้บริษัทจะมีการรับรู้รายได้จากมูลค่ายอดขายรอโอน (Backlog) เข้ามาราว 1 หมื่นล้านบาท จาก Backlog ทั้งหมด 2.7 หมื่นล้านบาท ซึ่งในปีนี้จะมีโครงการคอนโดมิเนียมที่สร้างเสร็จและเริ่มโอนครั้งแรกเข้ามาจำนวน 9 โครงการ และมีโครงการแนวราบ Britania ศรีนครินทร์ มูลค่า 800 ล้านบาท ที่จะเริ่มโอนในช่วงไตรมาส 1/61 เป็นครั้งแรก หลังจากที่บริษัทได้เปิดการขายโครงการดังกล่าวไปเมื่อปลายปีก่อน และเป็นปี 61 ยังเป็นปีแรกที่บริษัทมีการรับรู้รายได้จากโครงการแนวราบเข้ามา
ทั้งนี้ นางศุภลักษณ์ จันทร์พิทักษ์ กรรมการผู้จัดการโครงการแนวราบ ORI กล่าวว่า ธุรกิจโครงการแนวราบถือเป็นอีกธุรกิจที่จะมีบทบาทสำคัญต่ออาณาจักรออริจิ้น โดยภายในปี 61-65 บริษัทตั้งเป้าจะเปิดตัวโครงการใหม่ เน้นทำเลกรุงเทพฯ-ปริมณฑล และทำเลระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) มูลค่ารวม 4.5 หมื่นล้านบาท และสร้างรายได้กลับมายังบริษัทในช่วง 5 ปีดังกล่าวราว 3.1 หมื่นล้านบาท
ขณะที่ระดับราคาของบ้านจะแบ่งออกเป็น 3 เซ็กเมนท์ ได้แก่ ทาวน์โฮมและโฮมออฟฟิศ ราคา 3-5 ล้านบาท บ้านเดี่ยวและบ้านแฝด ราคา 5-8 ล้านบาท และบ้านเดี่ยว ราคา 8-20 ล้านบาท เพื่อให้พร้อมรองรับความต้องการของผู้บริโภคทุกระดับ ตั้งแต่ระดับอีโคโนมี่ พรีเมียม ไปจนถึงระดับเพรสทีจ
ด้านนายปิติพงษ์ ไตรนุรักษ์ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายพัฒนาธุรกิจ ORI ในฐานะผู้ดูแลด้านการร่วมทุน กล่าวว่า การร่วมทุนถือเป็นกลไกสำคัญในการเติบโตของออริจิ้นสู่อาณาจักรอสังหาริมทรัพย์ครบวงจร เพราะจะช่วยสร้างโอกาสในการเรียนรู้แนวคิด โนว์ฮาว ดีไซน์ ของบริษัทพาร์ทเนอร์ มาใช้ต่อยอดกับการดำเนินธุรกิจให้ตอบโจทย์ผู้บริโภคทุกกลุ่ม ขณะเดียวกัน ยังช่วยเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงฐานลูกค้าใหม่ๆของพันธมิตรอีกด้วย
โดยที่ผ่านมาบริษัทมีพันธมิตรหลัก คือ บริษัท โนมูระ เรียลเอสเตท ดีเวลล็อปเมนท์ ร่วมทุนในโครงการคอนโดมิเนียมแล้ว 5 โครงการ และโครงการโรงแรมอีก 1 โครงการ ในอนาคต บริษัทยังเปิดกว้างโอกาสในการร่วมทุนในธุรกิจประเภทอื่น ๆ ทั้งโครงการแนวราบ คอมมูนิตี้มอลล์ สำนักงานให้เช่า ไปจนถึงธุรกิจแวร์เฮาส์ คาดว่าระยะยาวจะมีรายได้ที่เกิดจากธุรกิจร่วมทุนราว 20-30% ของรายได้รวม
“เราร่วมทุนกับบริษัท โนมูระ เรียลเอสเตท ดีเวลล็อปเมนท์ จำกัด ทางโนมูระมีฐานลูกค้าอยู่ราว 4 แสนราย มีประสบการณ์ในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ญี่ปุ่นมายาวนานถึง 60 ปี การร่วมทุนกับโนมูระทำให้เราสามารถนำประสบการณ์ 60 ปีของโนมูระ มาต่อยอดเป็นปีที่ 61 ของเรา”นายปิติพงษ์ กล่าว
นางจตุพร ผิวขาว กรรมการผู้จัดการ บริษัท ออริจิ้น วัน จำกัด บริษัทในเครือของ ORI กล่าวว่า ธุรกิจที่สร้างรายได้หมุนเวียน จะเป็นธุรกิจที่ช่วยสร้างการเติบโตและรับรู้รายได้อย่างยั่งยืนให้กับอาณาจักรอสังหาริมทรัพย์ครบวงจรของออริจิ้น เพราะประกอบไปด้วยธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อการเช่า เช่น โรงแรม เซอร์วิสอพาร์ทเมนท์ สำนักงานเช่า คอมมูนิตี้มอลล์ ที่สร้างรายได้กลับมาอย่างต่อเนื่อง พร้อมรองรับทุกสภาพเศรษฐกิจ ขณะเดียวกันยังมีธุรกิจบริการที่จะช่วยเติมเต็มความต้องการของผู้บริโภค
สำหรับทิศทางของบริษัทต่อจากนี้จะให้ความสำคัญกับ 3 เรื่อง 1.Great Location เกาะทำเลศักยภาพอย่างสุขุมวิทที่ตอบโจทย์ทั้งนักท่องเที่ยวทั่วไป (Leisure Traveler) และนักท่องเที่ยวเชิงธุรกิจ (Business Traveler) รวมถึงทำเล EEC ที่มีศักยภาพในการเติบโต 2.Great Service ให้ความสำคัญกับการบริการมาตรฐาน โดยในส่วนของโรงแรมนั้น บริษัทจะใช้เชนจากต่างประเทศเข้ามาช่วยบริหาร เพื่อให้เกิดบริการมาตรฐานสากล ผสมผสานเข้ากับการบริการซึ่งมีเอกลักษณ์แบบของไทย 3.มิกซ์ยูส โครงการต่างๆ ต่อจากนี้จะพัฒนาไปแบบมิกซ์ยูส ซึ่งเป็นเมกะเทรนด์การอยู่อาศัยและการใช้ชีวิตของผู้บริโภคยุคใหม่
“สำหรับธุรกิจโรงแรมและเซอร์วิสอพาร์ทเมนท์ เราตั้งเป้าว่าภายใน 5 ปี จะมีจำนวนห้องพักอยู่ในระดับท็อปเท็นของเมืองไทย ขณะที่ในแง่ธุรกิจบริการ เราตั้งเป้าว่าจะเติบโตจนมีเซอร์วิสเชนของตัวเอง คอยบริการผู้บริโภค”นางจตุพร กล่าว
ขณะที่นายพีระพงศ์ กล่าวเสริมว่า นอกเหนือจากพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ที่บริษัทให้ความสำคัญแล้ว บริษัทยังเห็นถึงการพัฒนาการบริการและการบริการหลังการขายให้ดียิ่งขึ้น ซึ่งจะนำเทคโนโลยีมาประยุกต์ใช้เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับลูกค้าอย่างครอบคลุมและตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้ามากขึ้น
โดยในส่วนของบริษัท ดิจิตอล บัตเลอร์ จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของ ORI ที่เป็นผู้พัฒนาแอพพลิเคชั่น Digital Butler ซึ่งเป็นแอพพลิเคชั่นเพื่อให้บริการลูกค้านั้นบริษัทอยู่ระหว่างเจรจากับสถาบันการเงินรายใหญ่ในประเทศแห่งหนึ่งเพื่อเข้ามามีส่วนร่วมในการพัฒนาบริการหลังการขายร่วมกัน และเข้ามาถือหุ้นในบริษัท ดิจิตอล บัตเลอร์ จำกัด ซึ่งคาดว่าจะเห็นความชัดเจนในปีนี้
อีกทั้งยังอยู่ระหว่างการศึกษาการที่จะนำ ดิจิตอล บัตเลอร์ เข้าระดมทุนในรูปแบบสกุลเงินดิจิตอล (Initial Coin Offering หรือ ICO) เพื่อนำเงินมาต่อยอดการพัฒนางานด้านบริการ ซึ่งเป็นแนวทางที่บริษัทมีความสนใจ และมีการศึกษาและปรึกษากับบริษัทที่ได้เริ่มทดลองไปแล้ว แต่มองว่าเรื่องดังกล่าวยังต้องใช้ระยะเวลาและยังไม่เห็นความชัดเจนในปีนี้ เนื่องจากกฏระเบียบต่างๆ จากหน่วยงานกำกับในไทยยังไม่ออกมารองรับอย่างเป็นทางการ