EA มั่นใจผลงานปี 61 โตต่อเนื่อง อัดงบฯ 2.47 หมื่นลบ. ลุยธุรกิจทุกภาคส่วน

EA มั่นใจผลงานปี 61 โตต่อเนื่อง อัดงบฯ ลงทุน 2.47 หมื่นลบ. ลุยธุรกิจทุกภาคส่วน


นายอมร ทรัพย์ทวีกุล รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พลังงานบริสุทธิ์ จำกัด (มหาชน) หรือ EA เปิดเผยว่า ภาพรวมในปี 61 บริษัทคาดว่าผลการดำเนินงานเติบโตดีกว่าปี 60 เนื่องจากบริษัทสามารถรับรู้รายได้โครงการหาดกังหันขนาดกำลังผลิต 126 MW เต็มปี รวมถึงโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลมโครงการหนุมาน ขนาดกำลังผลิต 260 MW ซึ่งคาดว่าจะสามารถจ่ายไฟฟ้าเข้าระบบเชิงพาณิชย์ (COD) ได้ในปลายปีนี้ ส่งผลให้สิ้นปี 61 บริษัทจะมีกำลังการผลิตรวม 664 MW

ทั้งนี้บริษัทได้ประเมินว่าปีนี้จะมีสัดส่วนรายได้จากธุรกิจไฟฟ้าเพิ่มเป็น 65% และธุรกิจไบโอดีเซล 35% ขณะที่ปัจจุบันบริษัทมีอัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (D/E) ที่อยู่ในระดับราว 2.1-2.2 เท่า ซึ่งจะรักษาไว้ไม่ให้เกินที่ระดับ 3.5 เท่า

นอกจากนี้ในปี 61-62 ถือเป็นปีแห่งการลงทุนของบริษัท โดยบริษัทตั้งงบลงทุนรวมประมาณ 2.47 หมื่นล้านบาท ใช้แหล่งเงินทุนจากการกู้ยืม การออกหุ้นกู้ และเงินสดหมุนเวียนของบริษัท สำหรับอัตราผลตอบแทนการลงทุน (IRR) คาดไม่ต่ำกว่า 18% ทั้งนี้แบ่งงบลงทุนออกเป็น 5 ส่วน ดังนี้

โดยส่วนที่ 1 บริษัทจะใช้งบราว 2 พันล้านบาท สำหรับธุรกิจไบโอดีเซล โดยจะมุ่งเน้นการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ทั้งไบโอดีเซล กรีนดีเซล และผลิตภัณฑ์ ด้วยการใช้เทคโนโลยีมากขึ้นเพื่อเป็นการเพิ่มมูลค่าให้สูงขึ้น

ส่วนที่ 2 สำหรับการพัฒนาก่อสร้างโรงไฟฟ้าพลังงานลมหนุมาน ขนาดกำลังผลิต 260 MW คาดจะใช้งบลงทุนราว 1.77 หมื่นล้านบาท โดยโครงการดังกล่าวอยู่ในระหว่างการก่อสร้างฐานรากก่อนจะทำการติดตั้งกังหันลมในอนาคต ซึ่งการดำเนินการเป็นไปตามแผนที่วางไว้อย่างดี คาดว่าจะก่อสร้างแล้วเสร็จและสามารถรับรู้รายได้ทันทีในช่วงปลายปี 61

สำหรับส่วนที่ 3 บริษัทมีแผนลงทุนใช้งบประมาณราว 4 พันล้านบาท เพื่อลงทุนก่อสร้างโรงงานแบตเตอรี่เฟส 1 ขนาดกำลังการผลิต 1 กิกะวัตน์-ชั่วโมง (GWh) ซึ่งปัจจุบันอยู่ระหว่างการก่อสร้าง คาดว่าจะแล้วเสร็จและเริ่มรับรู้รายได้ช่วงกลางปี 62 ก่อนจะขยายเฟส 2 เพิ่มเป็น 50 GWh คาดแล้วเสร็จในปี 63

โดยจะเป็นการผลิตแบตเตอรี่เพื่อนำไปใช้ในโรงไฟฟ้าเป็นหลัก ซึ่งบริษัทได้ทำการทดลองกับโรงไฟฟ้าที่ลำปางเพื่อเก็บข้อมูลแล้ว ทั้งนี้แบตเตอรี่ดังกล่าวจะกักเก็บไฟฟ้าส่วนเกินจากที่จ่ายไฟฟ้าเข้าระบบในแต่ละวันและจะนำออกมาจำหน่ายทดแทนในช่วงที่ผลิตไฟฟ้าได้น้อยกว่าปกติหรือช่วงที่ความเข้มของแสงน้อยลง ทั้งนี้หากระบบมีความเสถียรมากขึ้นและผลการทดลองเป็นที่น่าพอใจ บริษัทก็มีแผนที่จะนำไปขายในประเทศ อินโดนีเซีย เวียดนามและฟิลลิปินส์ ซึ่งคาดว่าจะได้เห็นความชัดเจนในปี 62

ด้านส่วนที่ 4 บริษัทตั้งงบลงทุนไว้ราว 700 ล้านบาท เพื่อการลงทุนจัดตั้งสถานีอัดประจุไฟฟ้าสำหรับรถยนต์ภายใต้เครื่องหมายการค้า “EA Anywhere” เพิ่มเติม โดยตั้งเป้าปีนี้จัดตั้งสถานีคลอบคุมทั่วประเทศให้ได้ตามเป้าหมายที่วางไว้ 1,000 แห่ง

ส่วนที่ 5 บริษัทวางงบประมาณราว 300 ล้านบาท สำหรับการวิจัยและพัฒนา (R&D) เพื่อการลงทุนธุรกิจใหม่ที่มีความเกี่ยวข้องกับนวัตกรรมที่บริษัทมีอยู่แล้ว และรองรับการเติบโตของธุรกิจในอนาคต

นอกจากนี้บริษัทยังอยู่ในระหว่างเตรียมการพัฒนาพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมในจ.ฉะเชิงเทรา ซึ่งอยู่ในพื้นที่โครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) เนื้อที่ประมาณ 2,500 ไร่ โดยบริษัทกำลังเจรากับพันธมิตร อาทิ การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) สภาคมอุตสาหกรรมแห่งประเทสไทย (ส.อ.ท.) เป็นต้น ซึ่งในเบื้องต้นคาดว่าจะใช้สำหรับการจัดตั้งโรงงานผลิตแบตเตอรี่ คาดว่าจะได้ความชัดเจนในปีนี้และก่อสร้างเสร็จได้ในปี 62

อย่างไรก็ตามจากกรณีที่ก่อนหน้านี้ บริษัทหลักทรัพย์แห่งหนึ่งได้ประเมินราคาเป้าหมายของหุ้น EA ไว้สูงถึง 110 บาทนั้น นายอมรได้เปิดเผยว่า ทางนักวิเคราะห์อาจมองเห็นถึงศักยภาพการเติบโตของบริษัทในอนาคตจึงได้ทำการประเมินราคาเป้าหมายไว้ค่อนข้างสูง

Back to top button