PTTGC หั่น EBITDA โครงการ Core Uplift เชื่อ Q2 กลับมามีกำไรสต๊อก
PTTGC ปรับลด EBITDA สำหรับการเพิ่มศักยภาพธุรกิจ Core Uplift ปีนี้เหลือ 223 ล้านเหรียญสหรัฐ แนวโน้มราคาน้ำมัน Q2/58 ปรับตัวขึ้นทำให้คาดว่าจะกลับมามีกำไรจากสต๊อกน้ำมัน
นายฐิติพงศ์ จุลพรศิริดี ผู้จัดการฝ่ายการเงินองค์กรและนักลงทุนสัมพันธ์ บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ PTTGC เปิดเผยว่าบริษัทได้ปรับลดกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย, ภาษี, ค่าเสื่อมและค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) สำหรับการเพิ่มศักยภาพในธุรกิจ (Core Uplift) ปีนี้เหลือ 223 ล้านเหรียญสหรัฐ จากเดิมที่คาดการณ์ระดับ 303 ล้านเหรียญสหรัฐ
การปรับลด EBITDA ดังกล่าวเนื่องจากราคาน้ำมันปรับลดลงต่อเนื่องตั้งแต่ปลายปี 57 และยังคงอยู่ในระดับต่ำในช่วงไตรมาส 1/58 ทำให้ยังคงมีผลขาดทุนจากสต็อกน้ำมัน (Stock Loss) ส่งผลให้ EBITDA จากโครงการ Core Uplift ในไตรมาส 1/58 ทำได้เพียง 55 ล้านเหรียญสหรัฐ
อย่างไรก็ตาม บริษัทยังมีโครงการขยายกำลังการผลิตแบบคอขวดและการขยายกำลังการผลิตของโครงการที่จะแล้วเสร็จในปีนี้ ได้แก่ โครงการขยายกำลังการผลิตฟีนอลอีก 2.5 แสนตัน/ปี จะแล้วเสร็จในไตรมาส 4/58 การขยายกำลังการผลิตเอทิลีนออกไซด์ อีก 9 หมื่นตัน/ปี จะแล้วเสร็จในไตรมาส 3/58 และการขยายกำลังการผลิตแบบคอขวดของโรงงานอะโรเมติกส์ 2 จะแล้วเสร็จในไตรมาส 4/58 นั้น ซึ่งจะเข้ามาช่วยหนุน EBITDA ตามโครงการ Core Uplift ให้เพิ่มขึ้น
สำหรับแนวโน้มราคาน้ำมันในไตรมาส 2/58 ปรับตัวขึ้นมาเฉลี่ยอยู่ที่ 60 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล ทำให้บริษัทคาดว่าจะกลับมามีกำไรจากสต๊อกน้ำมัน (Stock Gain) หลังในไตรมาสแรกยังมีผลขาดทุนจากสต็อกน้ำมัน ขณะที่ในไตรมาส 2 บริษัทมีต้นทุนสต๊อกที่กว่า 50 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล และราคาน้ำมันเฉลี่ยในปัจจุบันอยู่ในระดับที่สูงกว่าต้นทุนของบริษัท
ทั้งนี้ บริษัทประเมินราคาน้ำมันเฉลี่ยในครึ่งหลังของปีนี้จะปรับตัวเพิ่มขึ้นมาเฉลี่ยอยู่ที่ 64 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล จากครึ่งปีแรกราคาน้ำมันเฉลี่ยอยู่ที่ 60 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล เนื่องจากช่วงครึ่งปีหลังเป็นช่วงที่เข้าสู่ฤดูหนาว ทำให้ความต้องการใช้น้ำมันเพิ่มขึ้น
ส่วนความคืบหน้าโครงการปิโตรเคมีคอมเพล็กซ์ในเมืองโอไฮโอ สหรัฐอเมริกา มูลค่าโครงการรวม 5.7 พันล้านเหรียญสหรัฐ คาดว่าจะสรุปผลกว่าจะลงทุนหรือไม่ภายในไตรมาส 3/59 โดยขณะนี้อยู่ระหว่างการเจรจากับพันธมิตรทั้ง 6 ราย ส่วนโครงการปิโตรเคมีคอมเพล็กซ์ ในประเทศอินโดนีเซีย คาดว่าจะได้ความชัดเจนในการร่วมลงทุนระหว่างบริษัท, เปอร์ตามิน่า และซาอุดิ อารัมโก โดยคาดว่าจะมีข้อสรุปออกมาช่วงปี 60 สำหรับงบลงทุนของบริษัทช่วง 5 ปี (2558-2562) ยังคงไว้ที่ระดับ 4.5 พันล้านเหรียญสหรัฐ
ที่มา: สำนักข่าวอินโฟเควสท์