EA ไม่หวั่น SCBS ทุบเป้าเหลือ 27 บ. รุกซื้อที่ดินดันธุรกิจใหม่เต็มสูบ

EA ไม่หวั่น SCBS ทุบเป้าเหลือ 27 บ. รุกซื้อที่ดินดันธุรกิจใหม่เต็มสูบ


สืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 5 มี.ค. 61 บริษัทหลักทรัพย์ ไทยพาณิชย์ จำกัด หรือ SCBS ระบุในบทวิเคราะห์ กำหนดคำแนะนำ “ขาย” หุ้น บริษัท พลังงานบริสุทธิ์ จำกัด (มหาชน) หรือ EA โดยให้ราคาเป้าหมายปลายปี 2561 ที่ระดับ 27 บาท ซึ่งผลการดำเนินงานงวดไตรมาส 4/2560 ของ EA มีกำไรปกติต่ำกว่าคาด

โดยงวดไตรมาส 4/2560 ทางบริษัทมีกำไรสุทธิ 896 ล้านบาท ซึ่งหากหักกำไรอัตราแลกเปลี่ยนออกไป จะพบว่ากำไรปกติจะทรงตัวจากช่วงปีก่อน และยังลดลง 9% จากงวดไตรมาส 3/2560 มาอยู่ที่ระดับ 883 ล้านบาท ซึ่งต่ำกว่าที่ฝ่ายวิเคราะห์คาดไว้ 6% และต่ำกว่าตลาดคาด 14%

ทั้งนี้ ถึงแม้โครงการหาดหังหันจะช่วยให้กำลังผลิตไฟฟ้าของ EA เพิ่มขึ้น 45% มาอยู่ที่ระดับ 404 เมกะวัตต์ (MW) และรายได้ยังเติบโต 27% จากปีก่อนมาอยู่ที่ 2.9 พันล้านบาท แต่รายได้จากโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ต่ำกว่าคาด ประกอบกับค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารยังเพิ่มขึ้น 181% จากปีก่อนมาอยู่ที่ระดับ 211 ล้านบาท ซึ่งสาเหตุหลักมาจากการเตรียมธุรกิจใหม่

ในงวดปี 2561 คาดทาง EA จะมีกำไรเพิ่มขึ้นเป็น 5.5 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 47% ซึ่งเป็นปีแรกที่บริษัทรับรู้กำไรจากโครงการหาดกังหันเต็มปี และยังมีโครงการหนุมาน ทำให้บริษัทมีกำลังผลิตไฟฟ้ารวม 664 MW แต่อย่างไรก็ตามยังมีความเสี่ยงขาลงจากความล่าช้าของโครงการและค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นสำหรับการขยายการลงทุนในโครงการใหม่

นอกจากนี้ ทาง EA มีแผนสร้างโรงงานผลิตแบตเตอรี่เฟสแรกภายในไตรมาส 2/2562 ตามด้วยเฟส 2 ในปี 2564 ซึ่งหากหัก equity value ที่ฝ่ายวิเคราะห์ประเมินไว้ 1.01 แสนล้านบาท ออกมาจากมาร์เก็ตแคปของ EA ที่ 2.36 แสนล้านบาท ตลาดดูเหมือนจะให้มูลค่าธุรกิจแบตเตอรี่ไว้ 1.35 แสนล้านบาท แต่เนื่องจากยังมีความไม่แน่นอนในธุรกิจใหม่นี้ และ P/E อยู่ในระดับสูง 31 เท่าในปี 2562 ถึงแม้หลังจากโครงการพลังงานหมุนเวียนทุกโครงการจะดำเนินงาน จึงยังคงแนะนำ “ขาย”

ล่าสุดวันนี้ (7 มี.ค.61) นายอมร ทรัพย์ทวีกุล รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร EA เปิดเผยผ่านรายการ “ข่าวหุ้นเจาะตลาด” ออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์สปริงนิวส์ ทีวีดิจิตอลช่อง 19 และสถานีวิทยุกระจายเสียงกรมการขนส่งทหารบก (ขส.ทบ.) FM 102 MHz. ว่า การกำหนดราคาเป้าหมายนั้นเป็นเรื่องของมุมมองแต่ละคน ว่ามีความเห็นอย่างไรกับธุรกิจของบริษัท

โดยประเด็นหลักคาดมาความไม่เข้าใจในธุรกิจกักเก็บพลังงาน (energy storage) เนื่องจากยังเป็นธุรกิจที่ใหม่ และอาจจะมองว่าเป็นธุรกิจที่มความเสียง แต่เนื่องจากบริษัทได้มีการศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับ energy storage มาก่อนหน้านี้จนมีความรู้ความเข้าใจ และมองเห็นโอกาส จึงไม่มีความกังวลใดๆ เกี่ยวกับธุรกิจใหม่นี้

“มันเป็นเรื่องวิชาชีพของแต่ละคน ผมว่าแต่ละคนมีสิทธิ์มองไม่เหมือนกัน อย่างที่บอกว่าบางโบรกฯ ก็ให้เรา 60-80 บาท จนไปถึง 100 บาทก็มี ผมคิดว่าตรงนี้มันอยู่ตรงสมมติฐานที่เขามองมากกว่า ว่าสิ่งที่เขามองเรื่องที่เราจะทำให้อนาคตว่ายังไง“ นายอมร กล่าว

ทั้งนี้ ในเรื่องความกังวลของนักวิเคราะห์ที่มีต่อธุรกิจ energy storage นั้น บริษัทไม่มีความกังวลต่อธุรกิจดังกล่าว เนื่องจากพันธมิตรอย่าง Amita มีโรงงานจริงและทำธุรกิจนี้มาเกือบ 20 ปี รวมถึงมีการพัฒนาแบตเตอร์รี่มาแล้วหลายซีรีส์ ขณะที่ความเสี่ยงในด้านตลาดโลก บริษัทไม่สามารถตอบแทนตลาดโลกได้ แต่มีความเชื่อว่าตลาดโลกกำลังมาทางนี้ ซึ่งด้วยความที่เป็นเทคโนโลยีที่มีการเปลี่ยน ความไม่คุ้นเคยอาจทำให้มองไม่เห็น

ส่วนเรื่องค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานที่นักวิเคราะห์มองว่าจะปรับตัวสูงขึ้น บริษัทมองว่ามองว่าเป็นเรื่องปกติ เนื่องจากบริษัทมีการเตรียมตัวสำหรับธุจกิจใหม่ ทำให้มีค่าใช้จ่ายสูงขึ้น โดยเฉพาะค่าใช้จ่ายเรื่องบุคลากรที่ปรับตัวขึ้นตามการขยายตัวของธุรกิจ รวมถึงเรื่องงบที่ใช้ในการวิจัยและพัฒนา เนื่องจากบริษัทมีการทำวิจัยเองเลยทำให้มีค่าใช้จ่ายในส่วนดังกล่าว

สำหรับความคืบหน้าแต่ละธุรกิจของบริษัท อย่างธุรกิจ Charge station ก็เป็นไปตามแผน โดยปัจจุบันมีการติดตั้งไปแล้วกว่า 100 จุด ส่วนโครงการกังหันลมที่ จ.ชัยภูมิ ก็น่าจะเป็นไปตามแผนทั้งหมด พร้อมคาดว่ากังหันชุดแรกจะมาถึงภายในเดือนนี้ และจะทยอยติดไปเรื่อยๆ โดยงานทุกอย่างเป็นไปตามแผนที่วางไว้

ส่วนเรื่องโรงงาน  energy storage ขณะนี้มีการออกแบบเสร็จเรียบร้อยแล้ว เครื่องจักรหลักๆ ก็ได้มีการสั่งซื้อไปแล้วทั้งหมด ซึ่งคาดว่าจะเริ่มทยอยส่งมาในช่วงปลายปีนี้ถึงต้นปีหน้า ขณะที่พื้นที่สำหรับตั้งโรงงานใหม่ บริษัทมองไว้ที่ 2-3 พันไร่ ซึ่งปัจจุบันบริษัทมีพื้นที่รองรับแล้วประมาณ 1 พันไร่

Back to top button