3 โบรกฯเชียร์ “ซื้อ” MTLS ชูเป้าสูง 52 บ. เก็งกำไรปีนี้โต 40%-เชื่อพรบ.ธปท.ไม่กระทบธุรกิจ

3 โบรกฯเชียร์ "ซื้อ" MTLS ชูเป้าสูง 52 บ. เก็งกำไรปีนี้โต 40%-เชื่อพรบ.ธปท.ไม่กระทบธุรกิจ


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หุ้นบริษัท เมืองไทย ลิสซิ่ง จำกัด (มหาชน) หรือ MTLS ปิดตลาดภาคเช้า ราคาอยู่ที่ 37.50 บาท ลบ 0.75 บาท หรือ 1.96% สูงสุดที่ 39.25 บาท ต่ำสุดที่ 36.75 บาท ด้วยมูลค่าซื้อขาย 569.38 ล้านบาท

อย่างไรก็ตาม แม้ราคาหุ้น MTLS จะปรับตัวลดลงในภาคเช้าวันนี้ แต่นักวิเคราะห์ยังคงแนะนำซื้อหุ้นดังกล่าว เนื่องจากคาดว่าผลการดำเนินงานในปีนี้จะเติบโตสูง อีกทั้งคาดว่าพรบ.การกำกับดูแลผู้ให้บริการทางการเงินนอกกำกับของธปท. จะไม่กระทบธุรกิจ

โดย บล.แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ ระบุในบทวิเคราะห์ (2 มี.ค.) แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 51 บาท/หุ้น โดย MTLS รายงานกำไรสุทธิปี 60 ที่ 2.5 พันลบ. แข็งแกร่งกว่าตลาดคาดและเป็นสถิติสูงสุดใหม่ต่อเนื่อง เพิ่มขึ้น 71% จากปีก่อน และถือว่าเป็นการเติบโตของกำไรมากกว่า 50% เป็นเวลา 4 ปีติดต่อกัน นับแต่ปี 2557

ทั้งนี้แรงหนุนหลักยังคงเป็นสินเชื่อที่เติบโตเพิ่มขึ้น 51% จากปีก่อน ตามการขยายสาขาเชิงรุกอีก 550 สาขาจากปี 59 (สะสม 2,424 สาขา) ซึ่งเกินกว่าเป้าหมายทั้งปี 2,200 สาขา นอกจากนี้ ยังเป็นผลจากประสิทธิภาพการขยายธุรกิจ สะท้อนได้จากยอดปล่อยใหม่ เพิ่มขึ้น 54% จากปีก่อน และ OPEX เพิ่มขึ้นต่ำกว่ารายได้ที่เติบโต เพิ่มขึ้น 51% จากปีก่อน (เทียบกับรายได้เติบโต เพิ่มขึ้น 64% จากปีก่อน) หนุนให้ PPOP เติบโตดีถึง เพิ่มขึ้น 76% จากปีก่อน

พร้อมทั้งตั้งเป้าปี 61 โต 40% พร้อมขยายสาขาเป็น 2,800 สาขาผู้บริหารตั้งเป้าปี 61 โตทุกด้าน 40% ทั้งสินเชื่อใหม่ และยอดลูกหนี้คงค้าง รวมถึงตั้งเป้าเพิ่มสาขาในปีนี้ให้ถึง 2,800 สาขา เป็นอย่างต่ำ พร้อมทั้งคุมคุณภาพสินทรัพย์ให้ NPL ต่ำกว่า 1.5% สำหรับ IFRS9 ยังคงให้ที่ปรึกษาทางการเงินศึกษาผลกระทบอยู่ คาดว่าจะทราบผลประมาณกลางปีนี้ว่าจะต้องตั้งสำรองเพิ่มอีกหรือไม่ แต่ผู้บริหารเชื่อว่าไม่น่าจะมีผลกระทบทางลบ เพราะตั้งสำรองเพิ่มรองรับไประดับหนึ่งแล้ว

ทั้งนี้ประมาณการ คาดว่ากำไรปี 61 โต 34% ยังเชื่อว่าในปี 61 MTLS ยังมีสินเชื่อที่เติบโตสูงได้ต่อเนื่องตามการขยายสาขาครอบคลุมทั่วประเทศ โดยคาดว่าสินเชื่อโต เพิ่มขึ้น 40% จากปีก่อน ตามประสิทธิภาพการปล่อยสินเชื่อต่อสาขาที่ดีต่อเนื่อง Spread ที่ 19.3% ใกล้เคียงกับปีก่อน Cost to income ที่ ระดับ 44-45% และภายใต้สมมติฐานที่ conservative ยังให้ตั้ง credit cost ที่เพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่ 2.35% ของสินเชื่อรวมเฉลี่ยเพื่อรองรับทั้งคุณภาพสินทรัพย์และ IFRS9 ด้วย คาดว่าจะมีกำไรสุทธิสูงถึง 3.36 พันลบ. (เพิ่มขึ้น 34% จากปีก่อน)

นอกจากนี้ พรบ.ยังไม่ชัดเจน คาดไม่กระทบในระยะยาว คลังอยู่ระหว่างการออก พรบ.การกำกับดูแลผู้ให้บริการทางการเงินนอกกำกับของ ธปท.โดยจะจัดตั้งหน่วยงานกำกับดูแลกิจการที่ดำเนินธุรกิจคล้ายสถาบันการเงิน (Non-Bank) ซึ่งคาดว่าหน่วยงานดังกล่าวน่าจะมาดูแลและคุ้มครองผู้บริโภคและดูแลผู้ประกอบการเพื่อให้บริการที่เป็นธรรมกับลูกค้า ซึ่งสิ่งที่น่าจะกระทบ คาดจะเกิดกรณีที่พรบ.ควบคุมอัตราดอกเบี้ยให้ต่ำกว่าอัตราดอกเบี้ยที่บริษัทคิดกับลูกค้า

ขณะที่ปัจจุบัน MTLS คิด average yield ที่ 23% คงต้องดูในรายละเอียดกันต่อไป แต่อย่างไรเชื่อว่าในระยะกลางถึงยาว น่าจะปรับตัวได้ มองการมี regulator ที่คอยกำกับดูแล เป็นปัจจัยบวกมากกว่าลบ จะทำให้สถานะ Non-Bank มั่นคงและแข็งแกร่งมากขึ้น

 

ด้าน บล.ฟินันเซีย ไซรัส ระบุในบทวิเคราะห์ (22 ก.พ.) แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 51 บาท/หุ้น โดยปรับเพิ่มประมาณการกำไรปี 2561 ขึ้น 5% เป็น 3.6 พันลบ. โดยปรับเพิ่ม ผลตอบแทนของเงินให้สินเชื่อ และทำให้คาดว่า Loan spread จะทรงตัวได้ที่ 20% เป็นระดับที่สูงสุดตั้งแต่เข้าตลาดฯ

อีกทั้งปรับลด Credit cost จากคาดการณ์เดิมที่ 2.5% ลงเป็น 2.3% ใกล้เคียงกับปีก่อน เงินสำรองฯที่สะสมอยู่ที่ราว 265% ของ NPL เพียงพอและอาจเกินพอเมื่อเทียบกับคุณภาพสินทรัพย์ที่มีอยู่

อย่างไรก็ตามยังชื่นชอบการบริหารคุณภาพหนี้ของ MTLS สะท้อนจาก NPL ที่ต่ำสุดในผู้ประกอบการในธุรกิจเดียวกัน (หมายเหตุ บริษัทประกาศจ่ายเงินปันผลสำหรับกำไรปี 2560 หุ้นละ 0.18 บาท Yield 0.4% XD 27 เม.ย. วันจ่าย 14 พ.ค.) แนะนำ”ซื้อ”

โดยคงคำแนะนำ “ซื้อ” และปรับเพิ่มราคาเหมาะสมปี 2560 เป็น 51 บาท (จากเดิม 48 บาท) โดยอิง PEG 1 เท่า ซึ่งเทียบ PER 30 เท่า (2561 Prospective EPS 1.71 บาท) โดยคาดการณ์การเติบโตของกำไรปี 2062-2563 เติบโตเฉลี่ย 30% ต่อปี ล่าสุด MTLS รายงาน ROE ปี 2560 ที่ 32% มาเร็วกว่าที่คาดไว้และเป็นระดับสูงสุดในกลุ่มการเงิน

 

ส่วน บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส (ประเทศไทย) ระบุในบทวิเคราะห์ (22 ก.พ.) แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 52 บาท/หุ้น โดยบริษัทประกาศกำไรสุทธิ 4/60 เท่ากับ 743 ล้านบาท (เพิ่มขึ้น 54% จากปีก่อน และเพิ่มขึ้น 14% จากไตรมาสก่อน) ส่วนกำไรสุทธิทั้งปี 60 เท่ากับ 2.5 พันล้านบาท (เพิ่มขึ้น 71% จากปีก่อน) โดยมาจากสินเชื่อที่เติบโต (หลักๆ มาจากการขยายสาขา 130 แห่งในปี ไตรมาส 4/60 รวมเป็นการขยาย 760 แห่งในปี 60 และทำให้มีสาขาทั้งหมดสิ้นปี 60 เท่ากับ 2,424 แห่ง) ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยเพิ่มขึ้น และต้นทุนดำเนินงานต่อรายได้ลดลง

อีกทั้งสินเชื่อโต 51% จากปีก่อน ในปี 60 เป็นผลจากสาขาที่เพิ่มและสินเชื่อในสาขาเดิมเติบโต ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นเป็น 19.9% ในปี 60 (จาก 19.5% ในปี 59) สัดส่วนค่าใช้จ่ายดำเนินงานต่อรายได้ลดลงเป็น 44% ในปี 60 (จาก 49.4% ในปี 59) และคุณภาพสินทรัพย์ยังอยู่ในเกณฑ์ดี NPL ratio สิ้นปี 60 เท่ากับ 1.2% และมี Coverage ratio 265%

สำหรับแนวโน้มปี 61 ยังแข็งแกร่ง ผู้บริหารตั้งเป้าขยายสาขาเป็น 2,800 แห่งในสิ้นปี 61, 3,400 แห่งในสิ้นปี 62 และ 4,000 แห่งในสิ้นปี 63 ส่วนสินเชื่อคาดว่าจะโต 40% ในปีนี้ ส่วนกำไรคาดว่าจะเติบโตได้กว่า 30% โดยแนะนำซื้อ ให้ราคาพื้นฐาน 52 บาท บริษัทประกาศจ่ายปันผล 0.18 บาท ขึ้น XD 27 เม.ย. และชำระเงิน 14 พ.ค. ณ ราคาปิด 44.25 บาท คิดเป็น Dividend yield รอบนี้ 0.4%

 

Back to top button