SELIC มั่นใจผลงาน Q1/61 โตกว่าปีก่อน ตั้งเป้าปีนี้เพิ่มสัดส่วนรายได้ตปท.เป็น 45%

SELIC มั่นใจผลงาน Q1/61 โตกว่าปีก่อน รับอานิสงส์ตรุษจีน-ส่งออกโต เดินหน้าเพิ่มปริมาณขายในกลุ่มอุตฯ-ขยายตลาดตปท. หวังดันสัดส่วนรายได้ตปท.เพิ่มเป็น 45% จากเดิม 30-40%


นายเอก สุวัฒนพิมพ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ซีลิค คอร์พ จำกัด (มหาชน) หรือ SELIC เปิดเผยว่า บริษัทคาดว่าแนวโน้มผลการดำเนินงานในไตรมาส 1/61 จะดีกว่าไตรมาส 1/60 เนื่องจากบริษัทฯ ได้รับอานิสงส์ในช่วงเดือนก.พ.ที่ผ่านมา ที่เป็นช่วงของเทศกาลตรุษจีน รวมถึงอุตสาหกรรมต่างๆ มีการเติบโตต่อเนื่อง จากการสนับสนุนของภาครัฐ ที่ให้มีการส่งออกมากขึ้น

โดยบริษัทฯยังคงเป้าหมายรายได้ปี 61 จะเติบโตไม่ต่ำกว่า 10% จากปีก่อนอยู่ที่ 595 ล้านบาท เป็นไปตามการเติบโตทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยในประเทศบริษัทฯ จะมีการเพิ่มปริมาณการขายในกลุ่มอุตสาหกรรมมากขึ้นและมีแผนขยายตลาดในต่างประเทศเพิ่มเติมอีก โดยเฉพาะประเทศกลุ่ม CLMV, ออสเตรเลีย, นิวซีแลนด์ และประเทศตะวันออกกลาง เป็นต้น

ทั้งนี้บริษัทฯ ตั้งเป้าหมายจะมีสัดส่วนรายได้จากต่างประเทศในปีนี้เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 45% จากเดิมที่อยู่ราว 30-40% และที่เหลือจะมาจากในประเทศ 55%

นอกจากนี้บริษัทฯ มีแผนปรับโครงสร้างทีมขายให้มีความชัดเจนมากขึ้น จากการแบ่งทีมขายไปตามกลุ่มอุตสาหกรรม จากเดิมที่มีการแบ่งไปตามบริษัท เพื่อรองรับการบริหารความสัมพันธ์ลูกค้า โดยมุ่งเน้นถึงการให้บริการด้วยแนวคิด Customer Centric

รวมถึงการยกระดับการผลิต เพื่อรองรับการขยายตลาดกลุ่มลุกค้าในประเทศ และกลุ่มลูกค้าต่างประเทศ และกลุ่มตลาดใหม่ ซึ่งการปรับโครงสร้างทีมขายดังกล่าวจะทำให้การบริการและการบริหารความสัมพันธ์ของลูกค้าได้เหมาะสมและดียิ่งขึ้น อย่างไรก็ตามบริษัทฯ ยังมีแผนเพิ่มทีมขายอีกเล็กน้อย จากเดิมที่มีอยู่ราว 10 คน ไม่รวมทีมพัฒนาธุรกิจและพัฒนาการตลาด

นอกจากนี้บริษัทฯ ยังมุ่งเน้นการเพิ่มส่วนแบ่งการตลาดในอุตสาหกรรมบรรจุหีบห่อ อาหารและเครื่องดื่ม กลุ่มรองเท้าและเครื่องหนัง รวมถึงเน้นการเจาะตลาดอุตสาหกรรมอื่นๆ โดยเฉพาะกลุ่มเครื่องใช้ไฟฟ้า กลุ่มเฟอร์นิเจอร์ และกลุ่มก่อสร้าง ซึ่งล้วนแต่มีการเติบโตส่งผลให้ความต้องการใช้กาวอุตสาหกรรมสูงขึ้นด้วย

สำหรับการลงทุนในปีนี้ยังคงมุ่งเน้นในการวิจัยและพัฒนา ในเรื่องของ Innovation (R&D) อย่างต่อเนื่อง โดยวางงบลงทุนไว้ราว 3-5% ของรายได้รวม

โดยบริษัทฯ คาดอัตรากำไรขั้นต้นและอัตรากำไรสุทธิปีนี้น่าจะปรับตัวดีขึ้น เมื่อเทียบกับปี 60 จากปีก่อนอยู่ที่ 25.84% และ 3.17% ตามลำดับ และคาดหวังว่าน่าจะอยู่ในระดับที่ใกล้เคียงกับปี 59 ที่มีอัตรากำไรขั้นต้นอยู่ที่ 29.66% และอัตรากำไรสุทธิที่ 6.96%

อย่างไรก็ตาม แม้ว่าบริษัทฯ จะยังคงได้รับผลกระทบจากค่าเงินบาทที่ปรับตัวแข็งค่าอยู่ แม้มีการทำป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน โดยอยู่ระหว่างการพิจารณาที่จะปรับราคาขายขึ้น เพื่อให้สามารถแข่งขันได้ในตลาดอุตสาหกรรม

 

Back to top button