ดาวโจนส์ปิดวานนี้ร่วงกว่า 1% ตลาดคาดเฟดขึ้นดอกเบี้ยปีนี้
ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดร่วงลงเมื่อคืนนี้ (26 พ.ค.) เนื่องจากนักลงทุนยังคงวิตกกังวลเกี่ยวกับความเป็นไปได้ที่ธนาคารกลางสหรัฐ (FED) จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในปีนี้ หลังข้อมูลเศรษฐกิจบางรายการของสหรัฐออกมาแข็งแกร่งกว่าที่คาดการณ์ไว้ รวมถึงยอดขายบ้านใหม่เดือนเม.ย. นอกจากนี้ การแข็งค่าของสกุลเงินดอลลาร์ยังเป็นอีกปัจจัยที่สร้างแรงกดดันต่อตลาดหุ้นนิวยอร์กด้วย
สำนักข่าวอินโฟเควสท์รายงานว่า ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดวานนี้ (26 พ.ค.) ที่ 18,041.54 จุด ร่วงลง 190.48 จุด หรือ -1.04%, ดัชนี NASDAQ ปิดที่ 5,032.75 จุด ลดลง 56.61 จุด หรือ -1.11% และดัชนี S&P 500 ปิดที่ 2,104.20 จุด ลดลง 21.86 จุด หรือ -1.03%
ทางการสหรัฐได้เปิดเผยข้อมูลเศรษฐกิจหลายรายการเมื่อช่วงค่ำวานนี้ตามเวลาไทย ซึ่งมีข้อมูลบางรายการที่ออกมาแข็งแกร่งและส่งผลให้นักลงทุนมองว่าเฟดอาจจะใช้เป็นเหตุผลในการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในปีนี้ หลังจากที่นางเยลเลนได้กล่าวสุนทรพจน์ที่โร้ดไอร์แลนด์เมื่อวันศุกร์ว่า เธอคิดว่าเป็นการเหมาะสมสำหรับเฟดที่จะเริ่มดำเนินการขั้นแรกของการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในปีนี้
ทั้งนี้ กระทรวงพาณิชย์สหรัฐรายงานว่า ยอดขายบ้านใหม่พุ่งขึ้น 6.8% ในเดือนเม.ย. เมื่อเทียบรายเดือน สู่ระดับ 517,000 ยูนิต ซึ่งบ่งชี้ถึงการฟื้นตัวของตลาดที่อยู่อาศัยของสหรัฐ ขณะที่ผลสำรวจของสแตนดาร์ด แอนด์ พัวร์/เคส ชิลเลอร์ระบุว่าดัชนีราคาบ้านใน 20 เมืองของสหรัฐ ปรับตัวขึ้น 5.04% ในเดือนมี.ค. เมื่อเทียบรายปี โดยเพิ่มขึ้นจากระดับ 4.99% ของเดือนก.พ. และสูงกว่าระดับ 4.60% ที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ ด้านผลสำรวจของ Conference Board ระบุว่า ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 95.4 ในเดือนพ.ค. หลังจากเคลื่อนไหวที่ระดับต่ำสุดในรอบ 4 เดือนในเดือนเม.ย.
นอกจากนี้ ตลาดหุ้นนิวยอร์กยังได้รับแรงกดดันจากความวิตกกังวลที่ว่า การแข็งค่าของสกุลเงินดอลลาร์อาจจะส่งผลกระทบต่อผลประกอบการของบริษัทส่งออก โดยสกุลเงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้นเนื่องจากกระแสคาดการณ์เกี่ยวกับการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟดเช่นกัน
หุ้นกลุ่มพลังงานร่วงลงเนื่องจากการแข็งค่าของดอลลาร์ โดยหุ้นเชฟรอน และหุ้นโคโนโคฟิลิปส์ ต่างก็ร่วงลงกว่า 1.5% ขณะที่หุ้นทรานส์โอเชียน และหุ้นไดมอนด์ ออฟชอร์ ดริลลิง ปรับตัวลงกว่า 4.1% หุ้นฮิวเล็ตต์-แพคการ์ด ร่วงลง 4% ขณะที่หุ้นกูเกิล ดิ่งลง 1.4% อย่างไรก็ตาม หุ้นไทม์ วอเนอร์ เคเบิล ทะยานขึ้น 7.3% หลังจากมีรายงานว่าชาร์เตอร์ คอมมิวนิเคชั่นส์บรรลุข้อตกลงในการซื้อกิจการไทม์ วอร์เนอร์ เคเบิล อิงค์ วงเงิน 5.5 หมื่นล้านดอลลาร์ โดยใช้เงินสดและหุ้น ซึ่งการซื้อกิจการไทม์ วอร์เนอร์ เคเบิล อิงค์ จะทำให้ชาร์เตอร์ คอมมิวนิเคชั่นส์ติดกลุ่มผู้ให้บริการเคเบิลทีวีรายใหญ่ที่สุดของสหรัฐ
นักลงทุนจับตาดูข้อมูลเศรษฐกิจที่สำคัญของสหรัฐในสัปดาห์นี้ โดยวันพฤหัสบดี จะมีการเปิดเผยจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรกรายสัปดาห์, ยอดทำสัญญาขายบ้านที่รอปิดการขาย (pending home sales) เดือนเม.ย. ส่วนวันศุกร์ สหรัฐจะเปิดเผยการประมาณการครั้งที่ 2 จีดีพีช่วงไตรมาส 1/2558, ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) เขตชิคาโกเดือนพ.ค. และดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคช่วงท้ายเดือนพ.ค.จากรอยเตอร์/มหาวิทยาลัยมิชิแกน