NETBAY บวกกว่า3% นิวไฮในรอบ 3 เดือน คาดรายได้ปีนี้โต 20% รับผลดีนโยบายผลักดันเศรษฐกิจรัฐฯ
NETBAY บวกกว่า3% นิวไฮในรอบ 3 เดือน คาดรายได้ปีนี้โต 20% รับผลดีนโยบายผลักดันเศรษฐกิจรัฐฯ โดย ณ เวลา 15.21 น. ราคาอยู่ที่ระดับ 39.75 บาท บวก 1.25 บาท หรือ 3.25% สูงสุดที่ระดับ 40.50 บาท ต่ำสุดที่ระดับ 38.75 บาท มูลค่าซื้อขาย 150.92 ล้านบาท
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หุ้นบริษัท เน็ตเบย์ จำกัด (มหาชน) หรือ NETBAY ณ เวลา 15.21 น. ราคาอยู่ที่ระดับ 39.75 บาท บวก 1.25 บาท หรือ 3.25% สูงสุดที่ระดับ 40.50 บาท ต่ำสุดที่ระดับ 38.75 บาท มูลค่าซื้อขาย 150.92 ล้านบาท
ทั้งนี้ราคาหุ้นยังปรับตัวเพิ่มขึ้นทำจุดสูงสุดในรอบ 3 เดือน นับตั้งแต่ราคาอยู่ที่ระดับ 40.50 บาท เมื่อวันที่ 29 ธ.ค.60
นายพิชิต วิวัฒน์รุจิราพงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร NETBAY เปิดเผยว่า บริษัทคาดว่าปี 61 รายได้จะเติบโต 15-20% จากปีก่อน 321.40 ล้านบาท โดยได้รับปัจจัยบวกจากการผลักดันนโยบายเศรษฐกิจของรัฐบาล และการผ่านร่างกฎหมายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) เรียบร้อยแล้ว ตลอดจนกระตุ้นการหันมาใช้แพลตฟอร์มที่เป็นออนไลน์ในการทำธุรกรรมต่าง ๆ ผ่านการสนับสนุนโครงการไทยแลนด์ 4.0
รวมถึงการตื่นตัวของภาคธุรกิจเอกชนที่ต้องการก้าวเข้าสู่ยุค ‘ดิจิทัล ทรานส์ฟอร์เมชั่น’ ซึ่งส่งผลดีต่อความต้องการใช้บริการทำธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (online) ผ่าน Netbay Gateway ที่ได้ให้บริการด้าน e-Trade Finance Supply Chain และ e-Business Services เพิ่มมากขึ้น
นอกจากนี้ ยังมีการขยายบริการใหม่ ๆ หลังจากที่ฝ่ายการพาณิชย์สินค้าและไปรษณีย์ภัณฑ์ของ บมจ.การบินไทย (THAI) ร่วมกับบริษัทเปิดตัวระบบ TG-e-Import Service Payment Gateway เพื่อให้บริการแก่ผู้นำเข้าสินค้า บริษัท Freight Forwarder บริษัท ชิปปิ้ง และอื่นๆ เพื่อชำระเงินทางอิเล็กทรอนิกส์ให้แก่ผู้ใช้บริการคลังสินค้าของการบินไทยในสนามบินสุวรรณภูมิผ่านระบบ TG-e-Import Service Payment Gateway ซึ่งมีการเชื่อมโยงโดยตรงกับระบบของการบินไทย ธนาคารกสิกรไทย ธนาคารกรุงไทย ในฐานะพันธมิตรที่ผ่านการตรวจสอบแล้วว่ามีมาตรฐานความปลอดภัยสูง
ทั้งนี้ บริษัทฯยังคงแผนการรักษาอัตรากำไรขั้นต้นไว้ที่ไม่ต่ำกว่า 70% และอัตรากำไรสุทธิไม่ต่ำกว่า 30% โดยปีที่ผ่านมาอัตรากำไรขั้นต้นอยู่ที่ 77.49% และอัตรากำไรสุทธิที่ 36.03% โดยอัตรากำไรยังมีแนวโน้มที่จะสูงขึ้นจากการที่บริษัทได้ขยายงานต่อเนื่อง แต่อัตราการเพิ่มจำนวนพนักงานไม่ได้มากขึ้นตาม ซึ่งตั้งแต่ปี 56 จนถึงปัจจุบันบริษัทฯเพิ่มพนักงานเพียง 11 คน เท่านั้น แต่รายได้เติบโตจาก 140 ล้านบาท จนถึงปี 60 ที่ผ่านมา บริษัทฯมีรายได้สูงขึ้นเป็น 321.40 ล้านบาท
นายพิชิต กล่าวเพิ่มเติมว่า บริษัทมีความสนใจที่จะขยายตลาดไปยังต่างประเทศเพิ่มเติม โดยเฉพาะประเทศในกลุ่มประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) ซึ่งปัจจุบันบริษัทเจรจากับพันมิตรหลายราย แต่อย่างไรก็ตามยังคงต้องติดตามเรื่องกฎหมายของการลงทุนในประเทศนั้นๆก่อน
“ธุรกิจเราไม่เหมือนกับธุรกิจอื่นๆ ที่จะมีงานรอรับรู้รายได้อยู่ในมือ ซึ่งบริษัทฯเราจะรับรู้รายได้ในทันทีหลังจากการได้งาน โดยปัจจุบันเราก็ได้มีการเข้าไปเจรจาและเสนอผลิตภัณฑ์ให้กับภาครัฐบาลเพิ่มเติม จากเดิมที่บริษัทฯมีรายได้มาจากเอกชนทั้งหมด” นายพิชิต กล่าว