หมดแรง! 3 เดือนหุ้น”บลูชิพ”ลงมากกว่าขึ้น CBG นำทีมทรุดหนัก 21%

หมดแรง! 3 เดือนหุ้น"บลูชิพ”ลงมากกว่าขึ้น CBG นำทีมทรุดหนัก 21% พร้อมชี้วานนี้ SET รูด 40 จุด เป็นโอกาสเก็บดีราคาถูก-เด้งกลับแรง


ข่าวหุ้นธุรกิจออนไลน์” ได้ทำการสำรวจราคาหุ้นของบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ใน SET50 ในรอบ 3 เดือนหรือไตรมาสแรก 2561 พบว่า ราคาหุ้นปิด ณ วันที่ 29 ธ.ค.60-30 มี.ค.61 ส่วนใหญ่ปรับตัวลงมากกว่าขึ้น โดยหุ้นที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นมีเพียง 20 ตัว และมีหุ้นปรับตัวลดลงเพียง 19 ตัว และราคาไม่เปลี่ยนแปลง 1 ตัว

โดยในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมาดัชนีตลาดหลักทรัพย์ SET ปรับตัวขึ้น 1.29% โดยเทียบจากดัชนียืนอยู่ที่ระดับ 1753.71 จุด (29 ธ.ค.60) มาอยู่ที่ระดับ 1,776.26 จุด ( 30 มี.ค.61) บวกไป 22.55 จุด ส่วนดัชนี SET50 ในรอบ 3 เดือนที่ผ่านมาปรับตัวขึ้น 3.23% จากดัชนีที่ยืนอยู่ที่ระดับ 1135.14 จุด (29 ธ.ค.60) มาอยู่ที่ 1171.79 จุด ( 30 มี.ค.61) บวกไป 36.65 จุด

อย่างไรก็ตามใน 3 เดือนที่ผ่านหุ้น SET50 ปรับตัวลดลงมากกว่าขึ้น เนื่องจากหุ้นมีปัจจัยลบเข้ามากระทบหนักในเดือนมีนาคมที่ผ่านมา อาทิ ความไม่แน่นอนต่อปัจจัยการเมือง (โรดแมปการเลือกตั้ง)และกลุ่มธนาคารยังมีแรงกดดันต่อเนื่องจากนโยบายยกเลิกเก็บค่าธรรมเนียม ที่ธนาคารขนาดใหญ่ทยอยประกาศ รวมไปถึงภาครัฐอยู่ระหว่างพิจารณาปรับโครงสร้างราคาน้ำมันหน้าโรงกลั่น และราคาขายปลีก กดดันราคาหุ้นในกลุ่มพลังงานและเป็นช่วงที่หุ้นประกาศจ่ายปันผล(XD)เป็นจำนวนมาก นอกจากนี้ยังมีปัจจัยความวิตกกังวลเกี่ยวกับสงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีน หลังจากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ได้ลงนามในคำสั่งให้เรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากจีน

อย่างไรก็ตามวานนี้(4 เม.ย.61) ดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับตัวลดลงถึง 40 จุด หรือ 2.28% มาอยู่ที่ระดับ 1,724.98 จุด โดยมีมูลค่าการซื้อขายที่ 9.32 หมื่นล้านบาท โดยหุ้นบลูชิพยังมีแรงเทขายอย่างหนัก และคาดว่าหุ้นที่อ่อนตัวแรงในช่วง 3 เดือนที่ผ่านจะปรับลดลงอีก ตรงนี้ถือเป็นโอกาสที่นักลงทุนจะได้เก็บหุ้นพื้นฐานดีราคาถูกเข้าในพอร์ตและลุ้นเด้งกลับแรงอีกครั้งดังตารางประกอบ

สำหรับหุ้นที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น 19 ตัวคือ PTT,TRUE,PTTEP,CPALL,BH,BDMS,PTTGC, HMPRO,ADVANC,IVL,EGCO,GPSC,CPF,IRPC,BANPU,SCC,INTUCH, BEAUTY,TISCO,BTS โดย 5 อันดับแรกให้ผลตอบแทนโดดเด่นเกิน 10% ดังนั้นจึงขอนำเสนอข้อมูลหุ้นดังนี้

บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) หรือ PTT เป็นหุ้นที่ให้ผลตอบแทนสูงสูงสุดในรอบ 3 เดือน โดยราคาหุ้นปรับตัวขึ้นกว่า 25.45% โดยราคาหุ้นปรับตัวจากระดับ 440.00 บาท (29 ธ.ค.60) มาอยู่ที่ระดับ 552.00 บาท (30 มี.ค. 61) โดยปัจจัยที่หนุนราคาหุ้นให้ปรับตัวขึ้นแรงส่วนใหญ่มาจากเรื่องการแตกพาร์ และการประกาศผลการดำเนินงานปี 60 ที่ออกมาอย่างโดดเด่น

โดยที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทเมื่อวันที่ 20 ก.พ.61 ได้มีมติอนุมัติการเปลี่ยนแปลงมูลค่าหุ้นที่ตราไว้ (พาร์) จากหุ้นละ 10 บาท เป็นหุ้นละ 1 บาท เพื่อเสริมสภาพคล่องให้แก่หุ้นของบริษัท โดยมติดังกล่าวจะเสนอต่อที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2561 ในวันที่ 12 เม.ย. เพื่อพิจารณาอนุมัติต่อไป

ทั้งนี้ทุนจดทะเบียนก่อนการเปลี่ยนแปลงมูลค่าหุ้นที่ตราไว้มีจำนวน 28,562,996,250 บาท โดยมีทุนที่ออกและชำระแล้ว จำนวน 28,562,996,250 บาท ตามมูลค่าที่ตราไว้ หุ้นละ 10 บาท หรือมีจำนวนหุ้นทั้งหมด 2,856,299,625 หุ้น

ส่วนหลังการเปลี่ยนแปลงมูลค่าหุ้นที่ตราไว้มีจำนวน 28,562,996,250 บาท โดยมีทุนที่ออกและชำระแล้ว จำนวน 28,562,996,250บาท ตามมูลค่าที่ตราไว้ หุ้นละ 1 บาท ส่งผลให้มีจำนวนหุ้นเพิ่มขึ้นเป็น 28,562,996,250 หุ้น

 

อันดับ 2 บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ TRUE ราคาหุ้นปรับตัวขึ้น 14.52% โดยราคาหุ้นปรับตัวจากระดับ 6.20 บาท (29 ธ.ค.60) มาอยู่ที่ระดับ 7.10 บาท (30 มี.ค.61) ราคาหุ้นปรับตัวแรงจากปัจจัยผลการดำเนินงานปี 60 ออมาสดใส

อีกทั้งประเด็นข่าวที่คณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) เตรียมสรุปเหตุผลในการยืดชำระค่างวดประมูลคลื่น 900MHz งวดสุดท้ายของ ADVANC กับ TRUE รายละประมาณ 6 หมื่นล้านบาทในปี 2563 ซึ่งประเด็นดังกล่าวจนถึงขณะนี้ยังไม่มีความชัดเจน

อนึ่งพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) มีข้อสั่งการให้นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี เร่งรัดแก้ไขปัญหาเรื่องค่าเช่าโครงข่ายโทรทัศน์ภาคพื้นดินในระบบดิจิทัล, ค่างวดเงินประมูลคลื่นความถี่โทรศัพท์เคลื่อนที่ และการขอผ่อนผันมีโฆษณาของกรมประชาสัมพันธ์ให้แล้วเสร็จโดยเร็ว

ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีให้แนวทางว่าขอให้พิจารณาอย่างรอบคอบ โดยคำนึงถึงสิ่งสำคัญ 2 ประการ คือ 1.ต้องให้เอกชนสามารถประกอบธุรกิจได้ ไม่กระทบความเชื่อมั่นของนักลงทุน และให้เอกชนยอมรับความจริงเรื่องความเสี่ยงทางธุรกิจ และ 2.ต้องไม่ให้ผลประโยชน์ของรัฐเสียหาย

 

อันดับ 3 บริษัท ปตท. สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) หรือ PTTEP  ราคาหุ้นปรับตัวขึ้น 14.50% โดยราคาหุ้นปรับตัวจากระดับ 100.00 บาท (29 ธ.ค.60) มาอยู่ที่ระดับ 114.50 บาท (30มี.ค.61) ราคาหุ้นปรับตัวขึ้นแรงมีปัจจัยบวกหลายด้าน อาทิ ชนะประมูลสัมปทานสำรวจปิโตเลียมอ่าวเม็กซิโก 2 แปลง จ่อเซ็นสัญญาพ.ค.นี้

อีกทั้งรัฐบาลอินโดนีเซีย โดยกระทรวงสิ่งแวดล้อมและป่าไม้ สาธารณรัฐอินโดนีเซียถอนฟ้องคดี”มอนทารา” จากเหตุการณ์น้ำมันและก๊าซธรรมชาติรั่วไหล เป็นจำนวนเงินประมาณ 2.1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ เมื่อวันที่ 18 กรกฎาคม 2560

บล.กสิกรไทย ระบุในบทวิเคราะห์ ว่า PTTEP เป็นหนึ่งใน top picks ในกลุ่มพลังงาน ด้วยอัตราการเติบโตเฉลี่ยต่อปีสำหรับกำไรปี 2560-63 ที่ 30% หนุนจากคาดการณ์ว่าราคาน้ำมันและปริมาณยอดขายจะสูงขึ้น นอกจากนี้ยังเล็งเห็น upside เพิ่มเติมได้ หาก PTTEP ชนะประมูลสัญญาสัมปทานแหล่งบงกช หรือกรณีที่ไปทำ M&A เพิ่มเติมได้แนะนำ ซื้อ PTTEP ที่ 140.0 บาท

 

อันดับ 4 บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) หรือ CPALL ราคาหุ้นปรับตัวขึ้น 14.29% โดยราคาหุ้นปรับตัวจากระดับ 77.00 บาท (29 ธ.ค.60) มาอยู่ที่ระดับ 88.00 บาท (30มี.ค.61) คาดเป็นผลมาจากพื้นฐานหุ้นน่าสนใจทำให้นักลงทุนเข้ามาไล่ราคาต่อเนื่อง

บล.เคทีบี ระบุในบทวิเคราะห์ว่า ยังเลือก CPALL ต่อเนื่องอีกหนึ่งสัปดาห์ โดยมองว่า CPALL เป็นตัวแทนของหุ้น Defensive ในภาวะตลาดผันผวนสูง ผลประกอบการของ CPALL นั้นโตได้เรื่อยๆ กำไรปี 2560 ขยายตัวถึง 19% การเติบโตในอนาคต มาจากธุรกิจหลักคือ ร้าน 7-11 และธุรกิจด้านการเงิน(รับ-จ่าย-โอน-ชำระเงิน) ที่เป็นโอกาสใหม่ของบริษัทฯ KTBST คาดกำไรสุทธิปี 2018 ที่ระดับ 23,106 ล้านบาท (+20% YoY) และปี 2019 ที่ 25,888 ล้านบาท (+12% YoY) …. ราคาที่เหมาะสมโดย KTBST ที่ 86.00 บาท

 

อันดับ 5 บริษัท โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BH ราคาหุ้นปรับตัวขึ้น 12.70% โดยราคาหุ้นปรับตัวจากระดับ 189.00 บาท (29 ธ.ค.60) มาอยู่ที่ระดับ 213.00 บาท (30 มี.ค.61) ด้วยพื้นฐานธุรกิจมีความมั่นคงสูงและมีศักยภาพโตต่อเนื่องในระยะยาวและเป็นหุ้นที่นักวิเคราะห์แนะนำให้ลงทุน

บล.โนมูระ พัฒนสิน ระบุในบทวิเคราะห์ว่า BH(TP 225) ชื่อเสียงของรพ.ที่จะดึงดูดทั้ง ผู้ป่วยและแพทย์มือดี ยังเป็นปัจจัยสำคัญที่รักษาความสามารถในการแข่งขันระยะยาว เป็นโอกาสต่อการปรับเพิ่มค่ารักษาต่อเนื่อง และยังมีราคาถูกกว่าการรักษาในต่างประเทศ โดยเฉพาะกลุ่มลูกค้าจีนที่เป็นเป้าหมาย

บล.เอเอสแอล Health Services – คาดผลประกอบการกลุ่มโรงบาลสดใสจากโรคระบาดในช่วงต้นปี เลือก BH*(TP 4.47 บาท) BCH*(TP 18.60 บาท) BDMS*(TP 24.13 บาท) และ CHG*(TP 2.32 บาท)

*ทั้งนี้ข้อมูลที่มีการนำเสนอข้างต้น เป็นเพียงข้อแนะนำจากข้อมูลพื้นฐานเพื่อประกอบการตัดสินใจของนักลงทุนเท่านั้น และมิได้เป็นการชี้นำ หรือเสนอแนะให้ซื้อหรือขายหลักทรัพย์ใดๆการตัดสินใจซื้อหรือขายหลักทรัพย์ใดๆ ของผู้อ่าน ไม่ว่าจะเกิดจากการอ่านบทความในเอกสารนี้หรือไม่ก็ตาม ล้วนเป็นผลจากการใช้วิจารณญาณของผู้อ่าน

Back to top button