“ผลกำไร” อาจทำให้คลื่นลมสงบ

หลังจากที่ตลาดหุ้นวุ่นวายมาหลายสัปดาห์ นักลงทุนกำลังหวังว่าฤดูแถลงผลประกอบการที่แข็งแกร่งอย่างผิดปกติในสหรัฐฯ จะสามารถรื้อฟื้นมุมมองในด้านบวกที่เกิดขึ้นในตลาดหุ้นเมื่อปีที่ผ่านมาได้


รายงานพิเศษ

หลังจากที่ตลาดหุ้นวุ่นวายมาหลายสัปดาห์ นักลงทุนกำลังหวังว่าฤดูแถลงผลประกอบการที่แข็งแกร่งอย่างผิดปกติในสหรัฐฯ จะสามารถรื้อฟื้นมุมมองในด้านบวกที่เกิดขึ้นในตลาดหุ้นเมื่อปีที่ผ่านมาได้

แรงเทขายหุ้นเทคโนโลยีและความวิตกเรื่องสงครามการค้าได้ทำให้ตลาดหุ้นทั่วโลกดิ่งเหวไปเมื่อเร็วๆ นี้ และเมื่อคำนึงถึงว่ามีความผันผวนมากขึ้นในปีนี้ ก็ไม่มีอะไรที่จะรับประกันได้ว่าสถานการณ์อันเลวร้ายนั้นได้จบลงแล้ว

นักวิเคราะห์กำลังคาดการณ์ว่าบริษัทจะมีผลกำไรที่แข็งแกร่งเมื่อเริ่มมีการแถลงผลประกอบการไตรมาสหนึ่งในเดือนนี้ ข้อมูลจากธอมสันรอยเตอร์ชี้ว่า การเติบโตของกำไรในช่วงไตรมาสหนึ่งของบริษัทที่อยู่ในดัชนีเอสแอนด์พี 500 จะสูงที่สุดในรอบ 7 ปี หลังจากที่ไตรมาสสี่ก็มีกำไรระเบิดระเบ้อ และการลดภาษีนิติบุคคลในสหรัฐฯได้ทำให้มีการปรับประมาณการกำไรสำหรับปี 2561 ทั้งปีมากขึ้น

นักกลยุทธ์กล่าวว่า ช่วงเวลาที่บริษัทมีกำไรแข็งแกร่งจะทำให้นักลงทุนกลับมาโฟกัสที่ปัจจัยพื้นฐานและอาจจะกำหนดเพดานขั้นต่ำไว้ใต้ราคา ซึ่งเป็นการสนับสนุนความเห็นที่ว่า ตลาดภาวะกระทิงที่กินเวลานาน 9 ปี จะไปต่อได้

ผลกำไรจะเป็นตัวทำให้นักลงทุนเริ่มกลับมาให้ความสนใจต่อตลาดที่ราคาหุ้นได้ถูกลงมากเมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา และเนื่องจากเกิดแรงเทขายขนาดใหญ่ในปีนี้และมีประมาณการกำไรเพิ่มขึ้น หุ้นสหรัฐฯจึงยังใกล้จะมีราคาถูกสุดเมื่อดูจากอัตราส่วนราคาต่อกำไร (พีอี) ตั้งแต่ปลายปี 2559 จากข้อมูลของธอมสัน รอยเตอร์ ดัชนีเอสแอนด์พี 500 กำลังซื้อขายโดยมีค่าพีอีที่ประมาณ 16.5 เท่าของกำไรล่วงหน้า ซึ่งต่ำกว่า 18.9 เท่าเมื่อกลางเดือนธันวาคม

การปรับตัวลงอย่างหนักในช่วงต้นเดือนกุมภาพันธ์ แรงเทขายที่เกิดขึ้นเมื่อเร็วๆ นี้หลังมีความกังวลเกี่ยวกับสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯและจีน ประเด็นเรื่องความเป็นส่วนตัวของเฟซบุ๊ก และการล่มสลายของผู้นำอื่นในภาคเทคโนโลยี ได้ทำให้นักลงทุนตกใจได้ง่ายและน่าจะกระทบต่อการเติบโตของเศรษฐกิจที่ค่อนข้างแข็งแกร่งมาอย่างต่อเนื่อง

นักวิเคราะห์บางคนกล่าวว่า ตลาดได้ติดอยู่กับสถานการณ์ที่สามารถเกิดขึ้นและอาจจะเกิดขึ้น แต่เมื่อเริ่มมีการแถลงผลประกอบการ มันจะกลายเป็นข่าวพาดหัวที่ทำให้ข่าวลบหายไป

สัปดาห์หน้ายังมีการแถลงรายงานการจ้างงานประจำเดือนของสหรัฐฯ ซึ่งมีแนวโน้มว่าจะเป็นตัวเร่งให้ตลาดหุ้นเกิดความผันผวนเพิ่มอีก รายงานการจ้างงานที่แข็งแกร่งเมื่อต้นเดือนกุมภาพันธ์ได้ช่วยให้เกิดแรงเทขายหุ้นจนทำให้ดัชนีเอสแอนด์พี 500 ปรับตัวลงต่ำกว่าสถิติที่ทำไว้เมื่อวันที่ 26 มกราคมมากกว่า 10% จนถือว่าเข้าข่าย “ปรับฐาน”

รายงานการจ้างงานยังได้ทำให้ผลตอบแทนพันธบัตรสูงขึ้นในเวลาอันสั้นและทำให้เกิดความกังวลว่าธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) อาจจำเป็นต้องเร่งความเร็วในการขึ้นอัตราดอกเบี้ย

ขณะนี้ดัชนีเอสแอนด์พี 500 ต่ำกว่าสถิติสูงสุดอยู่ประมาณ 8% ในช่วงสามเดือนแรกของปีนี้ดัชนีได้พุ่งหรือดิ่งลง 1% ในการซื้อขาย 23 วัน ซึ่งเป็นสามเท่าของจำนวนที่ดัชนีเคลื่อนไหว 1% ในปี 2560 ทั้งหมด และในปี 2559 มี 48 วันที่ดัชนีปรับตัวลงหรือขึ้น 1% นักลงทุนเห็นพ้องกันว่า ตลาดหุ้นสหรัฐฯไม่น่าจะกลับมามีความสงบอย่างผิดปกติเหมือนปีที่แล้ว

มีการคาดการณ์ว่ากำไรบริษัทสหรัฐฯจะเพิ่มขึ้นมาตั้งแต่เดือนธันวาคม เมื่อสมาชิกรัฐสภาสหรัฐฯผ่านความเห็นชอบให้เปลี่ยนแปลงกฎหมายภาษี เช่น ลดภาษีนิติบุคคลจาก 35% เหลือ 21% การเติบโตของเศรษฐกิจใหญ่อื่นๆ ก็ช่วยหนุนประมาณการกำไรให้กับหุ้นขนาดใหญ่ที่ทำยอดขายในต่างประเทศมาก

จากข้อมูลของธอมสัน รอยเตอร์ ในขณะนี้นักวิเคราะห์คาดว่า กำไรไตรมาสหนึ่งของบริษัทที่อยู่ในดัชนีเอสแอนด์พี 500 จะเพิ่มจากปีก่อน 18.5% มีประมาณการกำไรไตรมาสแรกในดัชนีเอสแอนด์พี 500 สูงขึ้น 6.3% ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม ในขณะที่ประมาณการกำไรปี 2561 ทั้งปี เพิ่มขึ้น 7.7% ตั้งแต่นั้นมา นั่นชี้ว่าบรรทัดฐานอาจจะค่อนข้างต่ำสำหรับไตรมาสแรก นักกลยุทธ์หุ้นของยูบีเอส มองว่า อาจเห็นประมาณการกำไรที่สูงขึ้น

หลายบริษัทได้ประกาศแผนการที่จะซื้อหุ้นคืนและจ่ายเงินปันผลแล้ว หรือไม่ก็นำเงินสดจากต่างประเทศกลับสหรัฐฯ และยังมีแผนการอื่นๆ ที่จะใช้เงินจากการได้ลดภาษี คาดว่าจะมีข่าวในทำนองนี้ออกมาอีกในช่วงที่มีการแถลงผลกำไรรอบนี้

เจพี มอร์แกน เชส และบริษัทอื่นๆ จะแถลงกำไรเป็นระลอกแรกในวันที่ 13 เมษายนนี้ หากหลายบริษัทพูดถึงการนำเงินกลับประเทศก็จะมีผลกระทบในทางบวกต่อตลาดหุ้นสหรัฐฯ

Back to top button