“ทริสฯ”ยังเชื่อมั่นศักยภาพEAอัพเครดิตเป็น”A-“สะท้อนกระแสเงินสดมั่นคง-ธุรกิจโรงไฟฟ้าแกร่ง!
ทริสเรทติ้งเพิ่มอันดับเครดิตองค์กร EA เป็น "A-" จาก "BBB+" และคงอันดับเครดิตหุ้นกู้ มีการค้ำประกันบางส่วน ที่ "A-" และหุ้นกู้มีการค้ำประกันที่ "AA" ด้วยแนวโน้ม "Stable" สะท้อนกระแสเงินสดมั่นคง-ธุรกิจโรงไฟฟ้าแกร่ง!
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ทริสเรทติ้งเพิ่มอันดับเครดิตองค์กรของ บริษัท พลังงานบริสุทธิ์ จำกัด (มหาชน) จากระดับ “BBB+” เป็นระดับ “A-” การปรับเพิ่มสะท้อนถึงกระแสเงินที่มีขนาดใหญ่มากขึ้นจากธุรกิจผลิตพลังงานไฟฟ้าของบริษัท และการปรับตัวที่ดีขึ้นของสถานะทางการเงิน ในขณะเดียวกันทริสเรทติ้งยังคงอันดับเครดิตหุ้นกู้มีการค้ำประกันบางส่วนของบริษัทที่ระดับ “A-” และหุ้นกู้มีการค้ำประกันที่ระดับ “AA” เช่นเดิม
ทั้งนี้ หุ้นกู้ทั้งหมดของบริษัทได้รับการค้ำประกันโดยธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) ซึ่งได้รับการจัดอันดับเครดิตในระดับสากล (International Scale) ที่ระดับ “BBB+” จาก S&P Global Ratings
โดย อันดับเครดิตของบริษัทยังคงสะท้อนถึงการมีกระแสเงินสดที่มั่นคงจากโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ของบริษัทที่มีสัญญาซื้อขายไฟฟ้าระยะยาว (Power Purchase Agreements – PPA) กับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) และการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) อย่างไรก็ตาม อันดับเครดิตถูกลดทอนบางส่วนจากความเสี่ยงในการดำเนินงาน และการลงทุนขนาดใหญ่ของโรงงานผลิตแบตเตอรี่กักเก็บพลังงาน
ประเด็นสำคัญที่กำหนดอันดับเครดิตมาจากการที่กระแสเงินสดที่มั่นคงของบริษัทเป็นผลจากการที่บริษัทมีสัญญาซื้อขายไฟฟ้าระยะยาวกับผู้รับซื้อไฟฟ้าภาครัฐและความเสี่ยงในการดำเนินงานที่ต่ำของโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์และพลังงานลม บริษัทมีกำลังการผลิตในมือจำนวน 664 เมกะวัตต์ โดยจำนวน 404 เมกะวัตต์มาจากโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ 4 โครงการและโรงไฟฟ้าพลังงานลมอีก 1 โครงการ ทั้งนี้ โรงไฟฟ้าพลังงานลมแห่งที่ 2 หรือโครงการหนุมานซึ่งมีกำลังการผลิต 260 เมกะวัตต์นั้น อยู่ในระหว่างการก่อสร้าง และคาดว่าจะเริ่มดำเนินการเชิงพาณิชย์ได้ภายในสิ้นปี 2561
ด้านกระแสเงินสดของบริษัทนั้นขยายใหญ่มากขึ้น เนื่องจากบริษัทมีโรงไฟฟ้าที่เปิดดำเนินงานมากขึ้น ซึ่งส่งผลทำให้สถานะทางการเงินมีการปรับตัวดีขึ้นเช่นกัน กระแสเงินสดที่เพิ่มขึ้นเป็นผลจากการเพิ่มขึ้นของจำนวนไฟฟ้าที่ผลิตได้และผลการดำเนินงานของโรงไฟฟ้าที่ดีกว่าที่คาดไว้ นอกจากนี้ ผลการดำเนินงานที่ดีของโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลมหาดกังหันยังช่วยลดความกังวลที่มีต่อความเสี่ยงในการดำเนินโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลมลงไปด้วย ในปี 2560 กำไรจากการดำเนินงานก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) ของบริษัทยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่องเป็น 6,300 ล้านบาทหรือคิดเป็นอัตราการเติบโตที่ 16.4% เมื่อเทียบกับปีก่อน และสัดส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อเงินกู้รวมก็เพิ่มขึ้นจาก 15.5% ในปี 2558 เป็น 19.8% ในปี 2560
ขณะที่ในระหว่างปี 2561-2563 ทริสเรทติ้งคาดว่า EBITDA ของบริษัทจะเติบโตจาก 6,300 ล้านบาทในปี 2560 เป็นประมาณ 10,000 ล้านบาทในปี 2563 หลังจากโรงไฟฟ้าทั้งหมดเริ่มดำเนินงานได้เต็มปี อัตรากำไรจากการดำเนินงาน (อัตราส่วนกำไรจากการดำเนินงานก่อนค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายต่อรายได้) คาดว่าจะยังคงสูงกว่า 50%
ด้านค่าใช้จ่ายฝ่ายทุนของบริษัทที่จะเกิดขึ้นใน 3 ปีข้างหน้าคาดว่าจะยังอยู่ในระดับสูง รวมมูลค่าประมาณ 23,000 ล้านบาท ประกอบด้วยโรงไฟฟ้าพลังงานลมหนุมานจำนวน 15,000 ล้านบาท โรงงานผลิตแบตเตอรี่เฟสแรกจำนวน 4,000 ล้านบาท และโรงงานผลิตไบโอดีเซลแห่งใหม่จำนวน 2,000 ล้านบาท ภาระเงินกู้ของบริษัทนั้นคาดว่าจะเพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตาม อัตราส่วนเงินกู้รวมต่อ EBITDA คาดว่าจะอยู่ต่ำกว่า 5 เท่าตลอดช่วงเวลาที่ประมาณการ
ทั้งนี้ สถานะทางเครดิตของบริษัทถูกลดทอนจากความเสี่ยงในการดำเนินธุรกิจผลิตแบตเตอรี่กักเก็บพลังงานที่อยู่ในระดับสูง ถึงแม้ว่าธุรกิจแบตเตอรี่นั้นจะมีแนวโน้มที่ดีจากความต้องการที่เติบโตอย่างรวดเร็ว อย่างไรก็ตาม ทริสเรทติ้งมองว่าการที่บริษัทจะประสบความสำเร็จในธุรกิจแบตเตอรี่ได้นั้นเป็นเรื่องที่ท้าทาย จากการเผชิญต่อความเสี่ยงที่หลากหลาย รวมถึงประวัติการดำเนินงานและประสบการณ์ที่จำกัดของผู้บริหารในธุรกิจนี้
ด้านความเสี่ยงสำคัญ ๆ ที่ทริสเรทติ้งพิจารณาประกอบด้วยเทคโนโลยีใหม่ที่จะมาแข่งกับแบตเตอรี่ลิเทียมไอออน การแข่งขันจากผู้ผลิตระดับโลก และความเป็นไปได้ที่ราคาแบตเตอรี่จะลดลงอย่างต่อเนื่องจากประสิทธิภาพที่พัฒนาดีขึ้น และกำลังการผลิตในตลาดโลกที่เพิ่มสูงขึ้น อย่างไรก็ตาม บริษัทมีความพยายามที่จะลดความเสี่ยงเหล่านี้ลงบางส่วนด้วยการซื้อหุ้นของ บริษัท อมิตา เทคโนโลยี จำกัด เพื่อให้มีความชำนาญและเป็นเจ้าของเทคโนโลยีในการผลิต นอกจากนี้ การเริ่มโรงงานผลิตที่มีขนาดเล็กก่อนเพื่อที่พัฒนาทักษะและความรู้ภายในก็เป็นอีกวิธีหนึ่งที่จะช่วยลดความเสี่ยงด้วยเช่นกัน
โดย ทริสเรทติ้งยังไม่ได้รวมการลงทุนในโรงงานแบตเตอรี่กำลังการผลิตที่ระดับ 50 กิกะวัตต์ชั่วโมงซึ่งมีมูลค่าถึง 100,000 ล้านบาทในประมาณการขั้นพื้นฐาน ทั้งนี้ ทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทจะลงทุนอย่างระมัดระวังและหาผู้ร่วมลงทุนเพื่อที่จะรักษาความแข็งแรงของสถานะการเงิน
ทั้งนี้ บริษัทมีสภาพคล่องที่เพียงพอ ในช่วง 12 เดือนข้างหน้า ทั้งนี้ แหล่งเงินทุนของบริษัทประกอบด้วยเงินทุนจากการดำเนินงานที่คาดว่าจะมีประมาณ 6,700 ล้านบาท และรวมทั้งเงินสดและรายการเทียบเท่าเงินสดอีกจำนวน 4,500 ล้านบาท ณ เดือน ธันวาคม 2560 ในขณะที่การใช้เงินทุนจ่ายในช่วงเวลาเดียวกันนั้นจะประกอบไปด้วยค่าใช้จ่ายฝ่ายทุนประมาณ 6,000-7,000 ล้านบาทและเงินปันผลที่ประมาณ 600-700 ล้านบาท ทั้งนี้ บริษัทไม่มีภาระในการชำระหนี้เงินกู้ธนาคารหรือหุ้นกู้ในปี 2561 ในขณะที่หุ้นกู้ชุดที่จะครบกำหนดชำระเร็วที่สุดจะอยู่ในเดือนกรกฎาคม 2562
ด้าน แนวโน้มอันดับเครดิต “Stable” หรือ “คงที่” สะท้อนถึงความคาดหมายว่าธุรกิจผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์และพลังงานลมของบริษัทจะสร้างกระแสเงินสดได้อย่างสม่ำเสมอตามที่วางแผนไว้ รวมทั้งยังคาดว่าบริษัทจะประสบความสำเร็จในการดำเนินโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลมหรือโครงการหนุมานอีกด้วย โดยที่ทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทจะสามารถหาแหล่งเงินทุนเพิ่มเติมหรือหาผู้ร่วมลงทุนใหม่ในการลงทุนขนาดใหญ่ได้เพื่อที่จะรักษาความเข้มแข็งของสถานะทางการเงินเอาไว้
ทั้งนี้ อันดับเครดิตของบริษัทอาจปรับเพิ่มขึ้นหากโครงการหนุมานมีผลการดำเนินงานที่ราบรื่นตามที่คาดไว้ในขณะที่บริษัทยังคงรักษาอัตราส่วนเงินกู้รวมต่อ EBITDA ในระดับที่ต่ำกว่า 3 เท่าอย่างต่อเนื่อง ในทางตรงกันข้าม อันดับเครดิตของบริษัทอาจถูกปรับลดลงหากสถานะทางการเงินของบริษัทอ่อนแอกว่าที่คาดไว้อย่างมีนัยสำคัญซึ่งอาจเกิดจากการลงทุนที่ใช้เงินกู้อย่างเกินตัวหรือการขาดทุนซึ่งเกิดจากความผิดพลาดในการดำเนินโครงการใหม่ ๆ ของบริษัท
โดย อันดับเครดิตและแนวโน้มอันดับเครดิตของหุ้นกู้มีการค้ำประกันของบริษัทสะท้อนถึงคุณภาพเครดิตของผู้ค้ำประกันคือธนาคารไทยพาณิชย์ซึ่งได้รับอันดับเครดิตในระดับสากล (International Scale) ที่ระดับ “BBB+” ด้วยแนวโน้ม “Stable” หรือ “คงที่” จาก S&P Global Ratings ส่วนอันดับเครดิตและแนวโน้มอันดับเครดิตของหุ้นกู้มีการค้ำประกันบางส่วนสะท้อนถึงคุณภาพเครดิตของทั้งผู้ค้ำประกันและบริษัทเองโดยอาจได้รับการปรับเพิ่มขึ้นหรือลดลงได้ในกรณีที่เกิดการเปลี่ยนแปลงของคุณภาพเครดิตของผู้ค้ำประกันหรือของบริษัท