วิตกปัญหาหนี้กรีซฉุดดาวโจนส์ปิดวานนี้ปรับลง

ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดลบเมื่อคืนนี้ (28 พ.ค.) เนื่องจากนักลงทุนยังคงวิตกกังวลต่อแนวทางการแก้ไขปัญหาหนี้กรีซ หลังจากเจ้าหน้าที่ของสหภาพยุโรป (EU) ระบุว่า ยังไม่มีการทำข้อตกลงใดๆระหว่างกลุ่มเจ้าหนี้และกรีซในขณะนี้ นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับแรงกดดันหลังจากนายจอห์น วิลเลียมส์ ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) สาขาซานฟรานซิสโก ออกมาส่งสัญญาณว่าเฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยภายในปีนี้


สำนักข่าวอินโฟเควสท์รายงานว่า ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดวานนี้ (28 พ.ค.) ที่ 18,126.12 จุด ลดลง 36.87 จุด หรือ -0.20%, ดัชนี NASDAQ ปิดที่ 5,097.98 จุด ลดลง 8.61 จุด หรือ -0.17% และดัชนี S&P 500 ปิดที่ 2,120.79 จุด ลดลง 2.69 จุด หรือ -0.13%

ตลาดหุ้นนิวยอร์กยังคงได้รับแรงกดดันจากความวิตกกังวลเกี่ยวกับปัญหาหนี้กรีซ หลังจากเจ้าหน้าที่ของสหภาพยุโรป (EU) ได้ออกมาปฏิเสธคำกล่าวอ้างของนายอเล็กซิส ซิปราส นายกรัฐมนตรีกรีซที่ระบุว่า กรีซและกลุ่มเจ้าหนี้ได้มีการเจรจาในขั้นตอนสุดท้ายสู่การทำข้อตกลง ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่ของ EU ปฏิเสธคำกล่าวอ้างของนายซิปราส โดยระบุว่า ยังไม่มีการทำข้อตกลงใดๆในขณะนี้

นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับปัจจัยลบจากการที่นายวิลเลียมส์ ประธานเฟดสาขาซานฟรานซิสโกกล่าวว่า เฟดมีแนวโน้มที่จะเริ่มปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในช่วงต่อไปในปีนี้ โดยจะปรับอย่างค่อยเป็นค่อยไป เนื่องจากเศรษฐกิจสหรัฐมีแนวโน้มที่จะสดใสขึ้นในช่วงที่เหลือของปีนี้ เมื่อเทียบกับไตรมาสแรกที่ขยายตัวอย่างอ่อนแอ

ส่วนข้อมูลเศรษฐกิจที่มีการเปิดเผยเมื่อช่วงค่ำวานนี้ตามเวลาไทย กระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยว่า จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรกในรอบสัปดาห์ซึ่งสิ้นสุดวันที่ 23 พ.ค. เพิ่มขึ้น 7,000 ราย แตะ 282,000 ราย แต่ตัวเลขดังกล่าวยังคงต่ำกว่าระดับ 300,000 รายเป็นสัปดาห์ที่ 12 ติดต่อกัน ซึ่งเป็นสัญญาณบ่งชี้ว่าตลาดแรงงานยังคงมีความแข็งแกร่ง

ด้านสมาคมนายหน้าอสังหาริมทรัพย์แห่งชาติของสหรัฐ (NAR) เปิดเผยว่า ดัชนีการทำสัญญาขายบ้านที่รอปิดการขาย (pending home sales) ปรับตัวขึ้นเป็นเดือนที่ 4 ติดต่อกัน โดยพุ่งขึ้น 3.4% แตะระดับ 112.4 ในเดือนเม.ย.เมื่อเทียบรายเดือน ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนพ.ค.2006 และสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ก่อนหน้านี้ว่าจะเพิ่มขึ้น 1% นับเป็นอีกหนึ่งสัญญาณซึ่งแสดงถึงการฟื้นตัวของตลาดที่อยู่อาศัยสหรัฐ

หุ้นกลุ่มพลังงานปรับตัวลงแม้ว่าราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกฟื้นตัวขึ้นก็ตาม โดยหุ้นเซาท์เวิสเทิร์น เอนเนอร์จี และหุ้นคอนโซล เอนเนอร์จี ต่างก็ร่วงลงกว่า 3.5% ส่วนหุ้น Chesapeake Energy ดิ่งลง 4.8% หุ้นกลุ่มสายการบินอ่อนแรงลง โดยหุ้นเดลต้า แอร์ไลน์ และหุ้นเจ็ทบลู แอร์เวย์ส ต่างก็ปรับตัวลงอย่างน้อย 0.7% หุ้นคอสท์โค ซึ่งเป็นบริษัทค้าปลีก ขยับลง 0.80% แม้ว่าบริษัทเปิดเผยกำไรต่อหุ้นรายไตรมาสเพิ่มขึ้นเป็น 1.17 ดอลลาร์ ซึ่งสูงกว่าการคาดการณ์ของนักวิเคราะห์

ขณะที่นักลงทุนจับตาดูข้อมูลเศรษฐกิจที่สำคัญของสหรัฐในวันนี้ รวมถึงการประมาณการครั้งที่ 2 จีดีพีช่วงไตรมาส 1/2558, ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) เขตชิคาโกเดือนพ.ค. และดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคช่วงท้ายเดือนพ.ค.

Back to top button