“ธิดา”ย้ำ SAWAD รายได้ยังโต! คงเป้าสินเชื่อปีนี้พุ่ง 30% แจงปรับปรุงตัวเลขทางบช.ทำกำไรลด

“ธิดา แก้วบุตตา”ย้ำ SAWAD รายได้ยังโต! คงเป้าสินเชื่อปีนี้พุ่ง 30% แจงปรับปรุงตัวเลขทางบช.ทำกำไรลด


จากกรณีที่ราคาหุ้น บริษัท ศรีสวัสดิ์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ SAWAD ปรับตัวลดลงอย่างหนักในวันนี้ (16 พ.ค.2561) จากความกังวลหลังจากบริษัทฯประกาศผลประกอบการไตรมาส 1 ปี 2561 ปรับตัวลดลงอย่างมีนัยสำคัญ

ล่าสุด น.ส.ธิดา แก้วบุตตา ผู้บริหารฝ่ายกลยุทธ์องค์กรบริษัท ศรีสวัสดิ์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ SAWAD เปิดเผยกับ “ข่าวหุ้นธุรกิจออนไลน์” ว่า ผลการดำเนินงานสำหรับไตรมาส 1 ปี 2561 สิ้นสุดวันที่ 31 มีนาคม 2561 บริษัทและบริษัทย่อยมีผลกำไรรวมสุทธิ 639.83 ล้านบาท ลดลง 241.79 ล้านบาท จากงวดเดียวกันของปีก่อนซึ่งอยู่ที่ 881.62 ล้านบาท หรือลดลงร้อยละ 27.43 เป็นผลมาจากการที่ิสิ้นงวดบัญชี 31 มีนาคม 2560 บริษัทมีการรับรู้ รายการพิเศษจากการปรับปรุงมูลค่ายุติธรรมของเงินลงทุนในส่วนที่เกี่ยวข้องกับ บริษัทเงินทุน กรุงเทพธนาธร จำกัด (มหาชน) หรือ BFIT ที่บริษัทได้ลงทุน

ทั้งนี้ การปรับปรุงมูลค่าดังกล่าวเกิดขึ้นเนื่องจากการจัดประเภทเงินลงทุนจากเงินลงทุนเผื่อขายเป็นเงินลงทุนในบริษัทย่อยตามมาตรฐานการบัญชีทำให้มีกำไรจากการโอนเปลี่ยนประเภทเงินลงทุนจำนวน 102.06 ล้านบาท

โดยภายหลังการปรับปรุงงบการเงินในส่วนของงบการเงินฉบับปรับปรุงของงวดบัญชีสิ้นสุด 31 มีนาคม 2560 ที่แสดงเปรียบเทียบไว้ในงบการเงินนี้ บริษัทมีการปรับปรุงรายได้อื่นๆ ในส่วนที่เกิดจากการปรับปรุงมูลค่ายุติธรรมของสินทรัพย์สุทธิที่ได้มาที่เกี่ยวข้องกับ BFIT จำนวน 185.65 ล้านบาท ที่เดิมบันทึกอยู่ในรายได้อื่นๆ ใน งบไตรมาส 4 สิ้นสุด 31 ธันวาคม 2560 จากการปรับปรุงงบการเงินดังกล่าว และกำไรพิเศษที่ได้จากการจัดประเภทเงินลงทุนในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการลงทุนใน BFIT ทำให้รายได้รวมของไตรมาสสิ้นสุดวันที่ 31 มีนาคม 2560 ฉบับปรับปรุงจำนวน 1,871.50 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากงบก่อนการปรับปรุง 185.65 ล้านบาท และกำไรพิเศษดังกล่าวอีก 102.06 ล้านบาท รวมเป็น 287.71 ล้านบาท อย่างไรก็ตามในปี 2561 บริษัทไม่มีการปรับมูลค่าเงินลงทุนแต่อย่างใด

อย่างไรก็ตาม หากไม่รวมรายการพิเศษครั้งเดียวที่กล่าวมาแล้วนั้นบริษัทจะมีรายได้รวมเพิ่มขึ้น 160.33 ล้านบาท หรือ ร้อยละ 10.12 แต่หากนับรวมรายการหลังการปรับปรุงงบการเงิน บริษัทรายได้รวม 1,744.12 ล้านบาท ลดลง 127.38 ล้านบาท จากงวดเดียวกันของปีก่อน 1,871.50 ล้านบาท

ทั้งนี้ จากรายการที่ได้กล่าวมาข้างต้นทำให้กำไร ของบริษัทหลังการปรับปรุงงบการเงินลดลง 241.79 ล้านบาท ซึ่งหากตัดรายการที่เกิดขึ้นจากการปรับปรุงงบการเงิน และ รายการพิเศษที่ได้กล่าวไปจะทำให้กำไรสุทธิเพิ่มขึ้นจำนวน 45.92 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 7.73

“การที่ราคาหุ้นปรับตัวลดลงหนักในวันนี้ คาดว่าเกิดการความกังวลของนักลงทุนที่เห็นกำไรของบริษัทปรับตัวลดลง แต่เรายังยืนยันว่าบริษัทไม่ได้มีปัญหาอะไร รายได้และผลการดำเนินงานปกติของบริษัทฯ ยังคงเติบโตจากช่วงเดียวกันเมื่อปีก่อน โดยกำไรที่ลดลงมาจากการปรับปรุงงบการเงิน ซึ่งมีผลทางบัญชีเท่านั้น ซึ่งตอนนี้เราพยายามจะสื่อสารให้นักลงทุนและผู้ถือหุ้นเข้าใจอยู่” น.ส.ธิดา กล่าว

นอกจากนี้ ในด้านของพอร์ตลูกหนี้การให้สินเชื่อรวมสิ้นสุด 31 มีนาคม 2561เพิ่มขึ้นเป็น 26,580.44 ล้านบาท เทียบจาก 21,595.56 ล้านบาท ณ สิ้นสุดงวดบัญชี 31 มีนาคม 2560 เพิ่มขึ้นร้อยละ 23.08 และจากการที่พอร์ตลูกหนี้้การให้สินเชื่อเติบโตดังกล่าว ส่งผลให้รายได้ดอกเบี้ยเพิ่มขึ้น จาก 1,193.67 ล้านบาท เป็น 1,243.67 ล้านบาท

ขณะที่ในปีนี้บริษัทฯยังมองว่าทิศทางของพอร์ตลูกหนี้การให้สินเชื่อยังคงเติบโตได้ดี โดยคงเป้าหมายมีพอร์ตลูกหนี้เพิ่มขึ้น 20-30%

Back to top button