TRC จับมือ”ซิโนเปค”ศึกษาขยายไลน์ธุรกิจรับเหมาอาเซียนสรุปปลายปี-ลุ้นงาน PTTEP
TRC จับมือ"ซิโนเปค"ศึกษาขยายไลน์ธุรกิจรับเหมาอาเซียนสรุปปลายปี-ลุ้นงาน PTTEP
นายภาสิต ลี้สกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ทีอาร์ซี คอนสตรัคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ TRC เปิดเผยว่า บริษัทเดินทางไปจีนในช่วงเดือนพ.ค.ที่ผ่านมาเพื่อเจรจากับบริษัท ชิโนเปค จำกัด ร่วมกันศึกษาขยายไลน์ธุรกิจรับเหมาก่อสร้าง เพื่อรุกเข้าไปงานรับเหมาในภูมิภาคอาเซียน ซึ่งเป็นโอกาสที่ดีของบริษัท โดยคาดว่าจะได้ข้อสรุปภายในปลายปีนี้
สำหรับผลประกอบการของบริษัทมั่นใจว่ารายได้และกำไรสุทธิในปีนี้จะเติบโต 20% จากปีก่อนที่มีรายได้ 3.13 พันล้านบาท และกำไรสุทธิ 214.92 ล้านบาท โดยปัจจุบันมีงานในมือ (Backlog) ราว 6.62 พันล้านบาท ซึ่งจะทยอยรับรู้รายได้ในปีนี้กว่า 2 พันล้านบาท และส่วนที่เหลือจะทยอยรับรู้ฯถึงปี 60 ขณะที่คาดว่ารายได้และกำไรสุทธิในไตรมาส 2/58 จะเพิ่มขึ้นจากไตรมาส 1/58 ที่มีรายได้ 780.29 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 77.71 ล้านบาท เนื่องจากมีการส่งมอบงานเพิ่มขึ้นมากกว่าไตรมาสแรก
บริษัทยังมีงานสำคัญที่อยู่ระหว่างรอผลการประมูล 2 โครงการ ของ บมจ.ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม (PTTEP)มูลค่ารวมกว่า 3 พันล้านบาท ได้แก่ งานวางท่อส่งก๊าซฯที่ระยอง มูลค่ากว่า 2 พันล้านบาท และงานวางท่อส่งน้ำมันที่กำแพงเพชร มูลค่ากว่า 1 พันล้านบาท ซึ่งจะรู้ผลในช่วงครึ่งปีหลังของปีนี้ โดยบริษัทคาดหวังจะได้รับงาน 25% ของมูลค่างานที่ยื่นประมูล
อีกทั้งในช่วงครึ่งปีหลังนี้บริษัทจะเดินหน้าประมูลงานใหม่เพิ่มทั้งงานภาครัฐ อย่างเช่น งานโครงการก่อสร้างรถไฟฟ้ารางคู่ของการรถไฟแห่งประเทศไทย(รฟท.) และงานภาคเอกชน เช่น งานวางท่อก๊าซฯ และงานก่อสร้างโรงงานและถนน มูลค่ารวมกว่า 1 หมื่นล้านบาท
นายภาสิต กล่าวว่า บริษัทคาดว่างานก่อสร้างเหมืองโปรแตซที่ จ.ชัยภูมิ ซึ่งบริษัทถือหุ้นสัดส่วน 4.4% จะได้ข้อสรุปงานประมูลรับเหมาก่อสร้างในช่วงไตรมาส 3/58 มูลค่างานกว่า 3 หมื่นล้านบาท และคาดว่าจะสามารถเริ่มดำเนินการก่อสร้างได้ในช่วงเดียวกัน อย่างไรก็ตาม หากบริษัทได้รับงานดังกล่าวจะผลักดันให้ Backlog แตะระดับ 3 หมื่นล้านบาทได้ภายในสิ้นปีนี้ ซึ่งเป็นสถิติใหม่ตั้งแต่ก่อตั้งบริษัทมา นอกจากนี้บริษัทยังสนใจเพิ่มสัดส่วนการถือหุ้นเพิ่มในบริษัท เหมืองแร่โปแตซ อาเซียน จำกัด หลังจากได้ข้อสรุปการปรับโครงสร้างการถือหุ้นของบริษัทแล้วเสร็จ
สำหรับการออกหุ้นกู้ของบริษัทมูลค่า 500 ล้านบาท อายุ 2-3 ปีนั้น คาดว่าจะออกขายในช่วงเดือนก.ค.นี้ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อใช้เป็นเงินสนับสนุนการซื้อเครื่องจักรและการซ่อมบำรุงเครื่องจักร หลังจากบริษัทวางงบลงทุนรวมจำนวน 500-600 ล้านบาทในปีนี้ เพื่อลงทุนซื้อเครื่องจักรใหม่และซ่อมบำรุงเครื่องจักรที่มีอยู่ เพื่อรับปริมาณงานที่จะเพิ่มเข้ามาในอนาคต ซึ่งส่วนใหญ่เป็นงานระยะยาว 3 ปี และยังทำให้บริษัทสามารถลดต้นทุนการเช่าเครื่องจักรได้อีกด้วย