GLOW คาดโรงไฟฟ้า SPP 2 แห่ง ได้ต่อสัญญาขายไฟฟ้ากับกฟผ. อีก 3-5 ปี
GLOW คาดโรงไฟฟ้าเอกชนรายเล็ก 2 แห่ง ขนาด 180 MW ได้ต่อสัญญาขายไฟฟ้ากับ กฟผ. ออกไป 3-5 ปีจากที่จะหมดอายุปี 60
นายณรงค์ชัย วิสูตรชัย ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่-รัฐสัมพันธ์และประชาสัมพันธ์ บริษัท โกลว์ พลังงาน จำกัด (มหาชน) หรือ GLOW เปิดเผยว่า สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) ได้เชิญผู้ประกอบการไปหารือเบื้องต้นและชี้แจงมติของคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) เกี่ยวกับแนวทางแก้ปัญหาของกลุ่ม SPP ที่จะทยอยสิ้นสุดอายุสัญญาซื้อขายไฟฟ้ากับภาครัฐฯ ในปี 60-68
ทั้งนี้ มติของกพช.แบ่งเป็น 2 ส่วน โดยส่วนแรกจะเป็นกลุ่ม SPP ที่จะทำสัญญาใหม่ ซึ่งจะรับซื้อไฟฟ้าในปริมาณไม่เกิน 20% ของกำลังการผลิตติดตั้งเดิม และอีกส่วนเป็นกลุ่ม SPP ที่จะหมดอายุสัญญาในปี 60-61 จะได้รับการต่ออายุอีก 3-5 ปีในปริมาณรับซื้อที่น้อยที่สุด
สำหรับโรงไฟฟ้า SPP ที่จะหมดอายุในช่วงปี 60-61 มีทั้งสิ้น 4 ราย โดยในส่วนนี้เป็นโรงไฟฟ้าของ GLOW จำนวน 2 แห่ง โดยมีกำลังการผลิตรวม 281 เมกะวัตต์ โดยในส่วนนี้เป็นปริมาณขายไฟฟ้าให้กับ กฟผ.180 เมกะวัตต์ ซึ่งจะหมดสัญญาซื่อขายไฟฟ้ากับกฟผ.ในปี 60 โดยมองว่าจะได้ต่อสัญญาไป 3-5 ปี แต่ทางการจะรับซื้อไฟฟ้าเท่าไหร่นั้นคงต้องมาคุยกัน
อนึ่ง กพช.เห็นชอบหลักการแนวทางแก้ปัญหาของกลุ่ม SPP ที่จะทยอยสิ้นสุดอายุสัญญาซื้อขายไฟฟ้ากับภาครัฐในปี 60-68 จำนวน 25 โครงการเมื่อเดือน ก.พ.ที่ผ่านมา โดยกำหนดให้เสนอขายไฟฟ้าเข้าระบบของ กฟผ.ในปริมาณที่จำเป็นโดยไม่เกิน 20% ของกำลังการผลิตติดตั้งเดิม และในราคาไม่เกินอัตราค่าไฟฟ้าในรูปแบบผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชนรายใหญ่(IPP)
ทั้งนี้หลังจากมติ กพช.ออกมาแล้ว ทางสมาคมผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชนได้ยื่นหนังสือไปถึงกพช.เพื่อขอให้พิจารณาแนวทางการช่วยเหลือ SPP ดังกล่าวใหม่ เพราะเป็นปัญหาต่อผู้ประกอบการที่ไม่สามารถทำอัตราค่าไฟฟ้าได้เท่ากับที่ภาครัฐรับซื้อจากกลุ่ม IPP ประกอบกับการรับซื้อไฟฟ้าในปริมาณเพียง 20% ของกำลังการผลิตนั้นนับว่าเป็นระดับที่ไม่เหมาะสมเพราะปริมาณน้อยเกินไป โดยเห็นว่าปริมาณรับซื้อต่ำที่สุดควรอยู่ระดับ 60 เมกะวัตต์
พร้อมกันนี้ยังขอให้ กพช.พิจารณาข้อเสนอเดิมของสมาคมผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชน ที่เห็นว่าการรับซื้อไฟฟ้านั้นควรจะอยู่ในปริมาณ 60 เมกะวัตต์ และควรใช้ราคาการรับซื้อไฟฟ้าจาก SPP รอบล่าสุดเป็นเกณฑ์ โดยมติ กพช.ที่ออกมาจะรับซื้อไฟฟ้าในปริมาณไม่เกิน 20% นั้นอาจทำให้มีผู้ประกอบการบางรายอาจต้องถอนตัวออกไป