DOD วิ่งฉิวเกือบ 7% โบรกฯเล็งอัพเป้า หลังทะลุแนวต้าน 12.30 บ. ชี้กำไรปีนี้โต 77%
DOD วิ่งฉิวเกือบ 7% โบรกฯเล็งอัพเป้า หลังทะลุแนวต้าน 12.30 บ. ชี้กำไรปีนี้โต 77% โดย ณ เวลา 15.00 น. อยู่ที่ระดับ 13 บาท บวก 0.80 บาท หรือ 6.56% สูงสุดที่ระดับ 13.20 บาท ต่ำสุดที่ระดับ 12.40 บาท มูลค่าการซื้อขาย 218.40 ล้านบาท
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ราคาหุ้น บริษัท ดีโอดี ไบโอเทค จำกัด (มหาชน) หรือ DOD ณ เวลา 15.00 น. อยู่ที่ระดับ 13 บาท บวก 0.80 บาท หรือ 6.56% สูงสุดที่ระดับ 13.20 บาท ต่ำสุดที่ระดับ 12.40 บาท มูลค่าการซื้อขาย 218.40 ล้านบาท
ด้าน บล.โกลเบล็ก ระบุในบทวิเคราะห์ (29 มิ.ย.) แนะนำ “ซื้อเมื่ออ่อนตัว” ราคาเป้าหมาย 12.30 บาท โดยบริษัทมีจุดแข็งคือ สินค้าที่บริษัทรับจ้างผลิตจดทะเบียนกับอย.แล้วต้องผลิตที่โรงงานเดิมเท่านั้นเนื่องจากสูตรของผลิตภัณฑ์ถือเป็นทรัพย์สินของบริษัท
โดยการย้ายโรงงานเพิ่มกำลังการผลิตสินค้าหนุนกำไรไตรมาส 1/61 โตก้าวกระโดด 232% จากปีก่อน โดยรายงานกำไรสุทธิไตรมาส 1/61 ที่ 111 ลบ. เติบโต 232% จากปีก่อน จากปัจจัยหนุนได้แก่ การย้ายโรงงานไปที่นิคมอุตสาหกรรมอยู่เจริญ-ท่าจีน ซึ่งมีพื้นที่ราว 7 ไร่ เพื่อให้โรงงานสามารถเพิ่มกำลังการผลิตและพื้นที่จัดเก็บสินค้า สอดคล้องกับปริมาณความต้องการสินค้าที่เพิ่มขึ้น ส่งผลให้รายได้รวมอยู่ที่ 214 ลบ. เติบโต 122% จากปีก่อน นอกจากนี้บริษัทมีการปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิต ทำให้มีของเสียจากการผลิตลดลง และบริหาร
ขณะที่สต๊อกวัตถุดิบได้ดีขึ้น ส่งผลให้ต้นทุนวัตถุดิบต่อหน่วยลดลงมาก หนุนอัตรากำไรขั้นต้นตั้งแต่ปี 58-60 เพิ่มขึ้นต่อเนื่องเป็น 47% , 54% และ 60% ตามลำดับ และในไตรมาส 1/61 เพิ่มขึ้นเป็น 64% จาก 56% ในไตรมาส 1/60 อีกทั้งธุรกิจผลิตยาแผนโบราณและผลิตภัณฑ์จากพืชสมุนไพรได้รับการยกเว้นภาษีจาก BOI ตั้งแต่ 3 มิ.ย. 57 เป็นระยะเวลาทั้งสิ้น 8 ปี และการยกเว้นภาษีในสินค้าประเภทเวย์โปรตีนผสมสารสกัดจากพืชผักสมุนไพร ตั้งแต่ 6 ธ.ค. 59 เป็นระยะเวลาทั้งสิ้น 3 ปี ส่งผลให้อัตรากำไรสุทธิสูงถึง 52% จาก 35% ในไตรมาส 1/60
ส่วนแผนเปิดโรงงานแห่งที่สอง ช่วยเพิ่มมาร์จิ้น หนุนการเติบโตระยะยาว ปัจจุบันบริษัทมีโรงงานสกัดวัตถุดิบแห่งที่ 1 ซึ่งใช้น้ำและแอลกอฮอล์เป็นสารสกัด เริ่มเปิดดำเนินงานตั้งแต่ ก.พ. 60 ทำให้บริษัทสามารถลดการสั่งซื้อวัตถุดิบที่ใช้ในการผลิตผลิตภัณฑ์เสริมอาหารของบริษัท ช่วยให้ประหยัดต้นทุนในการผลิตสินค้า หลัง IPO บริษัทมีแผนใช้เงิน ก่อสร้างโรงงานสกัดวัตถุดิบแห่งที่ 2 แบบใช้ก๊าซเป็นตัวสกัด ใช้เงินลงทุนทั้งสิ้นราว 85 ลบ. ซึ่งจะทำให้กำลังการผลิตวัตถุดิบสารสกัดเพิ่มขึ้นเป็น 800-3,500 กิโลกรัมต่อวัน จากเดิม 300-1,500 กิโลกรัมต่อวัน (โรงสกัด 1)
ทั้งนี้ เพื่อใช้ลดต้นทุนในธุรกิจเดิมและต้องการจำหน่ายสารสกัดในเชิงพาณิชย์ในอนาคต รวมทั้งมีแผนการสร้างห้องวิจัยระดับสากลรวมมูลค่า 15 ลบ. ใช้ในการพัฒนาสินค้าเพื่อตอบสนองกลุ่มผู้สูงอายุและใช้พัฒนาสินค้าผลิตภัณฑ์เสริมอาหารสมุนไพรตรีผลา ใช้เงินลงทุนในการวิจัยตลาด การผลิต การประชาสัมพันธ์สินค้า รวมทั้งสิ้นประมาณ 200 ลบ.
สำหรับแนวโน้มไตรมาส 2/61 ดีต่อเนื่อง คาดกำไรสุทธิปี 61 เติบโต 77% จากปีก่อน โดยฝ่ายวิจัยคาดว่าบริษัทจะได้รับประโยชน์จากการปราบปรามอาหารเสริมและเครื่องสำอางที่ไม่ผ่านมาตรฐานอย. ทำให้บริษัทได้รับผลบวกเนื่องจากโรงงานของบริษัทผ่านมาตรฐานการผลิตจาก GMP : Good Manufacturing Practice จาก อย. GMP codex : General Principle of Food Hygiene จากหน่วยงานมาตรฐานอาหารระหว่างประเทศ ISO22000 : Food Safety Management จากสถาบัน Intetek เป็นต้น
โดยทำให้มีแนวโน้มที่เจ้าของแบรนด์สินค้าจะเปลี่ยนมาใช้บริการจ้างผลิตผลิตภัณฑ์เสริมอาหารกับโรงงานที่ได้รับมาตรฐานมากขึ้น ประกอบกับการย้ายโรงงานทำให้บริษัทสามารถรองรับคำสั่งซื้อได้เพิ่มขึ้น ซึ่งคาดจะส่งผลให้รายได้ทั้งปี 61 อยู่ที่ 620 ลบ. เติบโต 60% จากปีก่อน ด้วยสมมติฐานอัตรากำไรขั้นต้นราว 61% คาดกำไรสุทธิราว 251 ลบ. เติบโต 77% จากปีก่อน
ขณะที่มีความเสี่ยงจากการพึ่งพิงลูกค้ารายใหญ่ : เนื่องจากรายได้ส่วนใหญ่ของบริษัทมาจากคำสั่งซื้อของลูกค้ารายใหญ่ 5 รายแรกถึง 89% ประกอบกับผลิตภัณฑ์เสริมอาหารส่วนใหญ่จะมี Product Life Cycle ประมาณ 1-1.5 ปี ซึ่งเป็นความเสี่ยงที่อาจทำให้ผลการดำเนินงานของบริษัทไม่สามารถเติบโตได้ต่อเนื่องตามที่คาดไว้
อย่างไรก็ตาม เริ่มต้นด้วยคำแนะนำ “ซื้อเมื่ออ่อนตัว” ประเมินราคาเหมาะสม 12.30 บาท โดยคาดว่า DOD จะมีคำสั่งซื้อเพิ่มขึ้นหลังย้ายโรงงานใหม่ และได้รับประโยชน์จากการปราบปรามอาหารเสริมที่ไม่ได้มาตรฐาน เราประเมินราคาเหมาะสมโดยอิง Prospect PER ที่ 20 เท่า ต่ำกว่าธุรกิจที่ใกล้เคียงกันในตลาดหลักทรัพย์ที่ 28.5 เท่า (เฉลี่ยจาก MEGA และ APCO) จากความกังวลเรื่องความต่อเนื่องของรายได้จากการรับจ้างผลิตสินค้า ได้ราคาเหมาะสมราว 12.30 บาท ซึ่งมีอัพไซต์จากราคาปิดล่าสุดไม่มากนัก จึงเริ่มต้นด้วยคำแนะนำ “ซื้อเมื่ออ่อนตัว”