SET ภาคบ่ายพุ่งกระฉูด 16 จุด รับแรงซื้อกลับหุ้น“บลูชิพ”ปรับลงแรงช่วงที่ผ่านมา

 SET ภาคบ่ายพุ่งกระฉูด 16 จุด รับแรงซื้อกลับหุ้น“บลูชิพ”ปรับลงแรงช่วงที่ผ่านมา โดย ณ เวลา 16.00น. ดัชนีอยู่ทีระดับ 1,623.57 จุด บวก 16.30 จุด หรือ 1.01% ด้วยมูลค่าซื้อขาย 48,036.70 ล้านบาท


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ตลาดหุ้นไทยภาคบ่ายพุ่งแรง 16 จุด ตามทิศทางตลาดขนาดใหญ่ในเอเชียและยุโรป โดยได้รับแรงซื้อกลับหุ้นขนาดใหญ่ที่ราคาปรับลงมามากในช่วงที่ผ่านมา โดย ณ เวลา 16.00น. ดัชนีอยู่ทีระดับ 1,623.57 จุด บวก 16.30 จุด หรือ 1.01% ด้วยมูลค่าซื้อขาย 48,036.70 ล้านบาท

บล.เคจีไอ ระบุว่า  SET น่าจะมีเสถียรภาพมากขึ้นในเดือนก.ค.นี้ ภาพรวมดัชนีฯมองเป็น sideways เนื่องจากน่าจะผ่านช่วงที่กระแสเงินทุนไหลออกหนักสุดไปแล้ว โดยในช่วงสองเดือนที่ผ่านมา นักลงทุนต่างชาติได้ขายหุ้นไทยออกมาสุทธิกว่า 1 แสนล้านบาท ทำให้สัดส่วนการถือครองหุ้นไทยของนักลงทุนต่างชาติลดลงเหลือไม่ถึง 30%

นอกจากนี้ยังพบว่าการ de-rate PER หุ้นเกิดขึ้นค่อนข้างแรงและน่าจะสะท้อนถึงความกังวลของนักลงทุนเกี่ยวกับการขึ้นดอกเบี้ย, ค่าเงินดอลลาร์ที่แข็งขึ้น และภาวะสภาพคล่องในตลาดโลกตึงตัวในปีหน้าไปแล้ว

อย่างไรก็ตาม ยังคงมองว่าความกังวลเกี่ยวกับการเติบโตของเศรษฐกิจโลกจะยังคงกดดันตลาดต่อไปจนกว่าจะมีความชัดเจนในเรื่องของขนาดของสงครามการค้าระหว่างสหรัฐ-จีน ดังนั้น  จึงคาดว่าค่าเงิน และสินทรัพย์เสี่ยงของตลาดเกิดใหม่ (emerging markets)จะยังคงผันผวนอยู่ต่อไปในระยะสั้นๆ นี้

ด้วยมุมมองที่ว่าความไม่แน่นอนเกี่ยวกับประเด็นสงครามการค้า และผลที่จะเกิดกับภาวะเศรษฐกิจโลก ยังส่งผลลบต่อหุ้นเชื่อมโยงปัจจัยภายนอก  จึงแนะนำให้หลีกเลี่ยงหุ้นบิ๊กแคปโดยทั่วๆ ไป ซึ่งอาจจะถูกกระทบจากฟันด์โฟลว์ที่ยังประเมินได้ลำบาก และแนะนำให้เน้นไปที่หุ้นที่มีธีมน่าสนใจเช่นหุ้นที่มีแนวโน้มผลประกอบการไตรมาส 2/2561 แข็งแกร่ง หุ้นที่เน้นธุรกิจภายในประเทศและมีค่า PER ไม่สูงและหุ้นที่จะได้อานิสงส์จากการอ่อนค่าของเงินบาทในระยะสั้นๆ นี้ โดยหุ้นแนะนำของ ในเดือน ก.ค. ได้แก่ BDMS,BEM,IVL,SEAFCO,ANAN,LH และ KCE

บล.ทิสโก้ ระบุในบทวิเคราะห์ว่า SET Index ที่ไหลลงในเดือนที่แล้ว ทำให้ระดับการประเมินมูลค่าหุ้นไทยมีความน่าสนใจขึ้น โดยคิดเป็น Forward PER ปี 19F ที่ 13.4 เท่า ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยระยะยาว 10 ปีย้อนหลังที่อยู่ที่ 15.2 เท่าแล้ว  ประเมิน Downside Risk ของ SET Index รอบนี้ไม่น่าต่ำกว่า -0.5SD มากนัก (เท่ากับ Forward PER ที่ 13.3 เท่า) หรือคิดเป็น SET Index ที่ระดับ 1570-80 จุด

ในแง่ของการประเมินมูลค่าด้วยวิธี PBV ขณะนี้ SET Index หล่นมาซื้อขายที่ PBV ต่ำกว่า 1.9 เท่า  มอง PBV ที่ระดับ 1.7 เท่า +/- เป็นระดับที่มีนัยสำคัญเพราะเป็นค่าเฉลี่ยระยะยาว หากไม่ได้อยู่ในช่วงวิกฤติเศรษฐกิจ  เชื่อว่าระดับดังกล่าวมีความน่าสนใจต่อการลงทุนระยะยาว อิงจาก PBV ที่ระดับ 1.7 เท่า และการประเมินมูลค่าทางบัญชีของบริษัทจดทะเบียนที่จะเพิ่มขึ้นภายหลังจากที่มีการประกาศผลประกอบการไตรมาส 2 ช่วงเดือน ก.ค. – ส.ค.นี้ หักด้วยเงินปันผลระหว่างกาลที่คาดว่าจะจ่ายสำหรับงวด 1H18F จะคิดเป็น SET Index ที่ระดับ 1530-40 จุด

นอกจากนี้ในแง่ของอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลของตลาดหุ้นไทยขณะนี้กลับมาอยู่สูงกว่าระดับ 3% และสูงกว่าอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ อายุ 10 ปี (10Y US Bond Yield) เป็นครั้งแรกในรอบปีนี้ ซึ่งเป็นอีกมุมหนึ่งที่ช่วยยืนยันว่าตลาดหุ้นไทยเริ่มมีความน่าสนใจและน่าจะช่วยรองรับความเสี่ยงขาลงของตลาดหุ้นไทยได้ โดยเฉพาะในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า จะเข้าสู่ช่วงฤดูกาลทยอยจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลสำหรับงวดครึ่งปีแรก

จากการประเมินกระแสเงินทุนต่างประเทศไหลออกที่ไม่น่ามีอีกมากแล้ว และระดับการประเมินมูลค่าหุ้นไทยที่น่าสนใจมากขึ้นในปัจจุบัน แสดงนัยถึงตลาดหุ้นไทยมี Downside Risk จำกัด ประกอบกับตัวเลขเศรษฐกิจไทยที่ขยายตัวดี และโอกาสเกิดการเลือกตั้งในปีหน้า (ซึ่งคาดว่าจะกำหนดวันเลือกตั้งได้ในเดือน ก.ย. นี้) จะช่วยสนับสนุน SET Index ในระยะถัดไป ยังคงมุมมองการอ่อนตัวของตลาดหุ้นไทยจากปัจจัยเสี่ยงภายนอกในช่วง 1-2 เดือนนี้เป็นจังหวะทยอยสะสม

โดยชอบหุ้นพื้นฐานดีขนาดใหญ่ที่ราคาหุ้นปรับตัวลงมามาก โดยจะเน้นหุ้นที่คาดว่าจะประกาศผลประกอบการไตรมาส 2 ดี และมีปันผลจ่ายระหว่างกาลดี หุ้นเด่นที่ แนะนำในเดือน ก.ค. คือ ANAN, INTUCH, IVL, KKP, MINT, SCC

นอกจากนี้ ยังคัดเลือกหุ้นเด่นในแต่ละอุตสาหกรรมที่เหมาะสำหรับการลงทุนระยะกลาง-ยาวในการทยอยสะสมรอบนี้ด้วย ด้านแนวรับและแนวต้านสำคัญของ SET Index เดือนนี้อยู่ที่ 1560-80, 1520-30 และ 1640-50 จุด ตามลำดับ

Back to top button