LALIN ขาขึ้นต่อเนื่อง! บวกอีก 4% สูงสุดในรอบ 12 ปี-ปักธงยอดขายปีนี้เข้าเป้า 4.5 พันลบ.
LALIN ขาขึ้นต่อเนื่อง! บวกอีก 4% สูงสุดในรอบ 12 ปี-ปักธงยอดขายปีนี้เข้าเป้า 4.5 พันลบ. โดย ณ เวลา 11.37 น. อยู่ที่ระดับ 6.25 บาท บวก 0.25 บาท หรือ 4.17% ด้วยมูลค่าซื้อขาย 2.49 ล้านบาท
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า บริษัท ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ LALIN ณ เวลา 11.37 น. อยู่ที่ระดับ 6.25 บาท บวก 0.25 บาท หรือ 4.17% ด้วยมูลค่าซื้อขาย 2.49 ล้านบาท โดยนับตั้งแต่หุ้นขึ้นไปทดสอบระดับ 6.47 บาท เมื่อวันที่ 17 ก.พ.2549 หรือราคาปรับตัวสูงสุดในรอบ 12 ปี 5 เดือน
อนึ่งก่อนหน้านี้บริษัทฯ มั่นใจยอดขายในปีนี้จะเติบโตได้ตามเป้าหมายที่ 4.5 พันล้านบาท ตามการเปิดตัวโครงการใหม่รวม จำนวน 8-10 โครงการ มูลค่าโครงการรวมประมาณ 4.5-5 พันล้านบาท ซึ่งโครงการส่วนใหญ่ยังคงอยู่ในทำเลกรุงเทพฯ และปริมณฑลเป็นหลัก คิดเป็น 80% ของจำนวนโครงการเปิดใหม่ ส่วนที่เหลือเป็นโครงการในทำเลต่างจังหวัด ในจังหวัดหัวเมืองใหญ่ๆ
โดยในช่วงไตรมาส 1/61 บริษัทฯ ได้เปิดตัวโครงการใหม่ไปแล้ว จำนวน 2 โครงการ มูลค่าโครงการรวม 800 ล้านบาท ซึ่งได้รับการตอบรับที่ดีจากลูกค้า และคาดว่าในไตรมาส 2/61 จะเปิดตัวโครงการใหม่เพิ่มอีก จำนวน 2 โครงการ มูลค่าโครงการประมาณ 1.2 พันล้านบาท เป็นโครงการแนวราบทั้ง 2 โครงการ ซึ่งเบื้องต้นคาดจะสามารถเปิดขายโครงการดังกล่าวได้ในช่วงปลายไตรมาส
ในช่วง 5 เดือนแรกที่ผ่านมา (ม.ค.-พ.ค.) บริษัทฯ มียอดขาย (Presale) แล้วประมาณ 2.5 พันล้านบาท แบ่งเป็น ยอดขายในช่วงไตรมาส 1/61 ที่ 1.5 พันล้านบาท และเป็นยอดขายในช่วงเดือนเม.ย.-พ.ค.61 ประมาณ 1 พันล้านบาท
ส่วนรายได้ในปีนี้ บริษัทฯ ยังมั่นใจจะเป็นไปตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ 4 พันล้านบาท ตามการรับรู้ยอดโอนโครงการแนวราบเป็นหลัก โดยปัจจุบันบริษัทฯ มียอดขายรอโอน (Backlog) อยู่ที่ 1 พันล้านบาท เป็นโครงการแนวราบทั้งหมด คาดว่าจะสามารถทยอยรับรู้รายได้ในปีนี้ทั้งหมด อีกทั้งบริษัทฯ ยังมีโครงการที่รอการขายอีกประมาณ 10-20 ยูนิตต่อโครงการ ซึ่งสามารถรองรับการขายได้ในช่วง 1-2 เดือน
นายเสรี กล่าวว่า แนวโน้มผลประกอบการในช่วงไตรมาส 2/61 จะเติบโตขึ้นจากไตรมาส 1/61 ซึ่งมีรายได้รวมที่ 964 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิที่ 182 ล้านบาท เนื่องด้วยในช่วงไตรมาส 1 ของทุกปีจะเป็นช่วงที่มีผลประกอบการต่ำสุดของปี
ด้านกลยุทธ์ทางการตลาดในปีนี้ บริษัทฯ ได้ปรับกลยุทธ์การดำเนินงานในเชิงรุกมากขึ้น เพื่อตอกย้ำความเชื่อมั่นผู้บริโภคที่ไว้วางใจบริษัท ด้วยการวางคอนเซ็ปต์ ความคุ้มค่าในการอยู่อาศัย และการเลือกทำเลศักยภาพ ตอบโจทย์ด้านไลฟ์สไตล์และราคา และเน้นการทำ Digital Marketing และ CRM Strategy ขณะเดียวกันบริษัทยังคงมีการใช้โฆษณาและประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อในรูปแบบดั้งเดิมควบคู่กันไปด้วย
นอกจากนี้ ปัจจุบันยอดปฏิเสธสินเชื่อของบริษัทฯ ลดลงอยู่ที่ระดับประมาณ 20% จากปีก่อนที่มียอดปฏิเสธสินเชื่ออยู่ที่ระดับมากกว่า 20% ซึ่งเป็นผลมาจากบริษัทให้คำปรึกษา แนะนำ และเพิ่มความหลากหลายของสินค้าในหลายๆ ระดับราคาในทำเลนั้นๆ เพื่อรองรับลูกค้าในทุกกลุ่มที่มีความต้องการ