เปิดโผ 16 หุ้นแกร่งกว่าตลาด! สัปดาห์เดียวกวาดรีเทิร์นเกิน 8%
เปิดโผ 16 หุ้นแกร่งกว่าตลาด! สัปดาห์เดียวกวาดรีเทิร์นเกิน 8%
“ข่าวหุ้นธุรกิจออนไลน์” ได้ทำการสำรวจข้อมูลราคาหุ้นของบริษัทจดทะเบียนในกลุ่ม SET100 โดยเทียบจากราคาหุ้นปิดในระหว่างวันที่ 17 ก.ค.61-25 ก.ค.61 และคัดเลือกหุ้นที่ราคาปรับตัวขึ้นเกิน 8% ซึ่งถือว่าเป็นการปรับตัวขึ้นสูงกว่าดัชนีตลาดหลักทรัพย์ที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น 4% โดยเทียบจากดัชนีปิดที่ระดับ 1,626.07จุด (17 ก.ค. 61) มาอยู่ที่ระดับ 1,690.08 จุด (25 ก.ค.61) หรือคิดเป็นการปรับตัวขึ้นมาถึง 64.01 จุด
โดยปัจจัยที่ส่งผลให้ดัชนีตลาดหุ้นไทยในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาปรับตัวขึ้นมาอย่างร้อนแรง มาจากแรงหนุนเรื่องผลประกอบการของกลุ่มธนาคารที่ออกมาเติบโตตามที่ตลาดคาดการณ์ ประกอบกับนักลงทุนต่างชาติเริ่มกลับเข้ามาซื้อสุทธิในตลาดหุ้นไทยมากขึ้น ซึ่งช่วยหนุนบรรยากาศการลงทุนทำให้มีแรงซื้อเข้ามาในหุ้นขนาดใหญ่
สำหรับราคาหุ้นในกลุ่ม SET 100 ในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา (17-25 ก.ค.61) ที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างโดดเด่น โดย “ทีมข่าวหุ้นธุรกิจออนไลน์” ได้ทำการคัดเลือกหุ้นที่ราคาปรับตัวเพิ่มขึ้นสูงเกิน 8% ซึ่งมีจำนวนทั้งหมด 16 หลักทรัพย์ แต่จะขอเลือกนำเสนอข้อมูลหุ้นบริษัทหลักทรัพย์เพียงแค่ 5 อันดับแรก ที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นเกิน 10% ซึ่งประกอบด้วย ESSO, SAWAD, GGC, RS และ WORK
อันดับที่ 1 บริษัท เอสโซ่ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ ESSO โดยราคาหุ้นปรับตัวขึ้น 24.56% จากราคาปิดที่ระดับ 11.40 บาท เมื่อวันที่ 17 ก.ค. 61 และขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 14.20 บาท เมื่อวันที่ 25 ก.ค.61 ด้านนักวิเคราะห์ บล.เอเชียร์เวลท์ ระบุในบทวิเคราะห์ว่า ค่าการกลั่นสิงคโปร์ในช่วงวันที่ 26 มิ.ย.61 อยู่ที่ระดับ 3.85 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาเรล และปรับตัวขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 6.8 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล เป็นวันที่ 2 ซึ่งเป็นปัจจัยบวกหนุนหุ้นโรงกลั่นอย่าง ESSO
อันดับที่ 2 บริษัท ศรีสวัสดิ์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ SAWAD โดยราคาหุ้นปรับตัวขึ้น 21.95% จากราคาปิดที่ระดับ 30.75 บาท เมื่อวันที่ 17 ก.ค.61 และขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 37.50 บาท ในวันที่ 25 ก.ค.61 ขณะที่นักวิเคราะห์ บล.บัวหลวง ระบุว่า SAWAD เป็นหุ้นในกลุ่มการเงินที่น่าจะได้รับผลดีจากการเลื่อนใช้ IFRS9 และประเมินว่าผลการดำเนินงานไตรมาส 2/61 จะเติบโตจากไตรมาส 1/61 และมีแนวโน้มดีขึ้นในช่วงครึ่งหลังปี 2561
อันดับที่ 3 บริษัท โกลบอลกรีนเคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ GGC ราคาหุ้นปรับตัวขึ้น 16.40% จากราคาปิดที่ระดับ 9.45 บาท เมื่อวันที่ 17 ก.ค.61 ขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 11 บาท เมื่อวันที่ 25 ก.ค.61 โดยราคาหุ้นปรับตัวขึ้นแรงในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา แม้ก่อนหน้านี้จะถูกแรงเทขายอย่างหนักจากประเด็นวัตถุดิบหายมูลค่าสูงถึง 2.1 พันล้านบาท ขณะเดียวกันนักวิเคราะห์ บล.ทิสโก้ มีการหั่นราคาเป้าหมายเหลือ 9.40 บาท จากเดิม 16.80 หลังประเมินว่า GGC มีแนวโน้มขาดทุนสูงถึง 1.14 พันล้านบาท
อันดับที่ 4 บริษัท อาร์เอส จำกัด (มหาชน) หรือ RS โดยราคาหุ้นปรับตัวขึ้น 14.56% จากราคาปิดที่ระดับ 15.80 บาท เมื่อวันที่ 17 ก.ค. 61 ขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 18.10 บาท ในวันที่ 25 ก.ค.61 ทั้งนี้ นักวิเคราะห์บล.ฟิลลิป (ประเทศไทย) ประเมินว่า ผลประกอบการไตรมาส 2/2561ของ RS จะมีกำไรสุทธิเติบโตสูงถึง 131 ล้านบาท โต 151% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อนจากธุรกิจความงามที่ยังเติบโตอย่างต่อเนื่อง
อันดับ 5 บริษัท เวิร์คพอยท์ เอ็นเทอร์เทนเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ WORK โดยราคาหุ้นปรับตัวขึ้น 14.20% จากราคาปิดที่ระดับ 42.25 บาท เมื่อวันที่ 17 ก.ค. 61 ขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 48.25 บาท เมื่อวันที่ 25 ก.ค. 61 ด้านนักวิเคราะห์ บล.เคที ซิมิโก้ ระบุคำแนะนำ “ซื้อ” แม้คาดว่ากำไรปกติของ WORK ในช่วงไตรมาส 2/2561 จะลดลง 32% จากปีก่อน แต่ยังคงประมาณการกำไรทั้งปีเติบโต 19% เนื่องจากมองว่าภาวะธุรกิจจะกลับเข้าสู่ปกติในช่วงไตรมาส 4/2561
อย่างไรก็ดี นักวิเคราะห์ บล.เคทีบี (ประเทศไทย) คาดดัชนีตลาดหุ้นไทยยังมีโอกาสเดินหน้าต่อ จากแรงซื้อที่กลับเข้ามาในตลาดหุ้นไทยโดยเฉพาะนักลงทุนต่างประเทศและกองทุนฯ สลับเข้ามาซื้อหุ้นในตลาด หลังดัชนีฯฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง เป็นแรงผลักดันตลาดที่สำคัญ ตัวแปรที่หนุนตลาด อื่นๆ ประกอบด้วย การเจรจาการค้าสหรัฐฯ-อียู คาดจะออกมาดีต่อเนื่องหลังประธานาธิบดีสหรัฐฯไม่ได้ต้องการเปิดสงครามการค้ากับอียู
โดยวานนี้ (26 ก.ค.61) ดัชนีตลาดหุ้นไทยได้ปรับตัวขึ้นไปทดสอบที่ระดับ 1,702 จุด ในรอบกว่า 1 เดือนครึ่ง นับตั้งแต่ดัชนีหลุดระดับ 1,700 จุด เมื่อวันที่ 15 มิ.ย. 2561
*ทั้งนี้ข้อมูลที่มีการนำเสนอข้างต้น เป็นเพียงข้อแนะนำจากข้อมูลพื้นฐานเพื่อประกอบการตัดสินใจของนักลงทุนเท่านั้น และมิได้เป็นการชี้นำ หรือเสนอแนะให้ซื้อหรือขายหลักทรัพย์ใดๆการตัดสินใจซื้อหรือขายหลักทรัพย์ใดๆ ของผู้อ่าน ไม่ว่าจะเกิดจากการอ่านบทความในเอกสารนี้หรือไม่ก็ตาม ล้วนเป็นผลจากการใช้วิจารณญาณของผู้อ่าน