“บล.โนมูระฯ”เปิด5ปัจจัยซื้อAMANAH ชูราคา”Undervalued”-กำไรปี61ออลไทม์ไฮ

“บล.โนมูระฯ” เปิด 5 ปัจจัยซื้อ AMANAH ชี้ราคา "Undervalued"-กำไรปี 61 ออลไทม์ไฮ ด้านราคาหุ้น AMANAH ล่าสุดอยู่ที่ระดับ 2.06 บาท ปรับตัวขึ้น 0.04 บาท หรือ 1.98% สูงสุดที่ระดับ 2.08 บาท ต่ำสุดที่ระดับ 2.04 บาท ด้วยมูลค่าซื้อขาย 12.39 ล้านบาท


บริษัทหลักทรัพย์ โนมูระ พัฒนสิน จำกัด (มหาชน) ระบุในบทวิเคราะห์ วันนี้ (1 ส.ค.2561) โดยเริ่มต้นคำแนะนำ “ซื้อ” บริษัท อะมานะฮ์ ลิสซิ่ง จำกัด (มหาชน) หรือ AMANAH ให้ราคาเป้าหมายปี 2561 ที่ 3.26 บาท สะท้อนประมาณการกำไรเติบโตเฉลี่ย (CAGR) 3 ปีข้างหน้า สูงถึง 99% หลังปรับโครงสร้างธุรกิจครั้งสำคัญ Turnaround เป็นบริษัทที่พื้นฐานแข็งแกร่งภายใน 2 ปี

นอกจากนี้ บริษัทมีการเปลี่ยนแผนธุรกิจ ปล่อยเฉพาะสินเชื่อจำนำทะเบียนรถยนต์ที่มี Yield สูงขึ้น 22% จากปี 2558 มี Yield ธุรกิจเดิม 10% และเลิกปล่อยสินเชื่อประเภทอื่นทั้งหมดตั้งแต่ไตรมาส 3/2558 ทั้งนี้ผู้ถือหุ้นใหญ่ให้วงเงินกู้ที่ Cost of Fund ต่ำเพียง 4% (คู่แข่ง 6%) ขณะที่ NPL Ratio คาดลดลงเหลือเพียง 7% ในปี 2561 (จากปี 2558 ที่ 12%) หลังจากบริษัทเข้มงวดลูกค้าสินเชื่อใหม่

ทั้งนี้คาดว่ากำไรสุทธิไตรมาส 2/2561 ที่ 41.5 ล้านบาท พลิกเป็นกำไรจากช่วงเดียวกันเมื่อปีก่อน แต่ลดลง 8.5% จากไตรมาสก่อนจากเป็นช่วง Low season และบริษัทชะลอการปล่อยสินเชื่อใหม่ เนื่องจากกังวลความไม่ชัดเจน ประเด็นพรบ.เช่าซื้อฉบับใหม่

อย่างไรก็ตามสถานการณ์ในปัจจุบัน น่าจะคลีคลายไปในทิศทางบวก ส่งผลให้ตั้งแต่ในช่วงกลางเดือนมิ.ย.2561 บริษัทเริ่มกลับมาเร่งปล่อยสินเชื่อใหม่มากขึ้นเพื่อให้ถึงเป้าหมาย New Loan +350 ลบ. (ปีละ +1,500 ลบ.) ในแต่ละไตรมาส จึงคาดว่าผลประกอบการในช่วงไตรมาส 3/2561 น่าจะเติบโตในอัตราเร่งอีกครั้ง

ทั้งนี้ คาดผลประกอบการของ AMANAH Turnaround ได้อย่างแข็งแกร่ง (มีกำไรคงที่ 3 ไตรมาสติดต่อกัน) และกำลังเข้าสู่ช่วง Growth Stage จากการเร่งขยายพอร์ตสินเชื่อสะท้อน ประมาณการกำไรเติบโตเฉลี่ย 3 ปีข้างหน้า (2561-2563) สูงถึง 99% ประเมินมูลค่าพื้นฐานปี 2561 ที่ 3.26 บาท อิง PER ปี 2561 ที่ 19เท่า และ P/BV ที่ 2.8 เท่า

โดยแนะนำซื้อ มี Upside สูงถึง 61% จากการปรับโครงสร้างธุรกิจใหม่ Turnaround กลับมามีกำไรคงที่แล้ว 3 ไตรมาสกำลังเข้าสู่ช่วง Growth stage คาดกำไรในปี 2561 โตแรงถึง 244% จากปีก่อน ทำ All-time high ตั้งแต่เข้าตลาดแต่ราคาหุ้นปัจจุบันซื้อขายต่ำกว่าปัจจัยพื้นฐาน (Undervalued) มากหรือเทียบ PER ปี 2561 เพียง 11.8 เท่า

 

นอกจากนี้ บล.โนมูระ พัฒนสิน ได้ให้ 5 เหตุผลที่นักลงทุนต้องเลือกซื้อ AMANAH ดังนี้

1) Lending Yield: ขึ้นสู่ระดับ 20.6% จากเดิม 10% AMANAH จากเดิมมี Yield เฉลี่ยรวมทั้งพอร์ตต่ำเพียง 10% ในช่วงต้นปี 2015 บริษัทเจอปัญหาขาดทุนสุทธิอย่างหนักเกี่ยวเนื่องกับปัญหาหนี้เสียในระดับสูงและ Lending Yield ต่ำ หลังจากนั้นมีการปรับเปลี่ยนโครงสร้างของสินเชื่อที่ปล่อยใหม่ตั้งแต่ไตรมาส 2/2558 บริษัทเลือกปล่อยสินเชื่อเฉพาะประเภทจำนำทะเบียนรถยนต์หรือ Auto-to-Money (ATM) เหมือนกับสินเชื่อของ SAWAD และ MTC เป็นสินเชื่อทีมีอัตราผลตอบแทนสูงระดับ 20%-25% และใช้เวลาเพียง 10 ไตรมาส มีพอร์ตสินเชื่อรวม 2.75 พันลบ. ณ สิ้นปี 2560 และมีสัดส่วนของ ATM สูงถึง 80% จึงประมาณการในปี 2561 คาด Yield จะปรับตัวขึ้นสู่ 20.6% หนุนรายได้รวมเพิ่มขึ้นที่721.4 ลบ. เพิ่มขึ้น 40.3% จากปีก่อน และกำไรสุทธิคาดทำ All-time high ตั้งแต่เข้าตลาดฯ ที่ 167.8 ลบ. เติบโตแรงกว่า เพิ่มขึ้น 243.8% จากปีก่อน

2) Cost of Fund: ระดับต่ำเพียง 4% ผู้ถือหุ้นใหญ่หนุน: ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทยถือหุ้นอันดับ 1 ในสัดส่วน 48.9% (as of 8 Mar 18) เป็นผู้สนับสนุนหลักให้วงเงินกู้แก่ AMANAH คาดมูลค่าราว 2.0-2.5 พันลบ. ในอัตราดอกเบี้ย เพียง 4% ถือว่าต่ำกว่าการขอกู้ยืมจากธนาคารพาณิชย์ทั่วไปมากที่ระดับ 6%-7% ต่อเนื่องถึง หากเปรียบเทียบกับ SAWAD และ MTC เมื่อแรกจดทะเบียนเข้าตลาดฯในปี 2554-2558 ยังมีต้นทุนทางการเงินสูงถึง 5% ก่อนทีจะทยอยลดลงหลังเข้าตลาดฯ ดังนั้นมองว่า Cost of fund ที่ 4% เป็นจุดแข็งของบริษัทที่ได้เปรียบหนุน Net interest margin ในปี 2561 คาดสูงถึง 14% (ปี 2015: 6.6%)

3) NPL Ratio: คาดลดเหลือเพียง 7% (เดิม 12%) อัตราส่วนหนี้สงสัยจะสูญเป็น Indicator สำคัญ บ่งชี้ถึงเสถียรภาพของผลประกอบการ หากบริหารจัดการสินเชื่อได้ดี ทั้งก่อนและหลังปล่อยสินเชื่อจะควบคุมอัตราส่วนหนี้สงสัยจะสูญได้ดี เช่น ตรวจสอบ Credit score ของลูกค้าและคุณภาพของสินทรัพย์ที่นำมาค้ำประกัน ซึ่งปัญหาที่ผ่านมาในปี 2558 AMANAH มี NPL Ratio สูงถึง 12% และมีผลขาดทุนกว่า -136 ลบ. เพราะมีคุณภาพของสินทรัพย์ทีอ่อนแอ ทำให้มีผลขาดทุนหลังจากขายประมูลทอดตลาด

อย่างไรก็ดี บริษัทตั้งสำรองหนี้สงสัยจะสูญในพอร์ตเก่าที่มีหนี้คุณภาพต่ำแล้วเสร็จกว่า 90%-95% ในช่วง 8 ไตรมาสย้อนหลัง และเร่งสร้างพอร์ตสินเชื่อจำนำทะเบียนรถยนต์ทดแทน จึงคาด NPL Ratio ปี 2561 ปรับตัวดีขึ้นยืนระดับที่ 7% และจะค่อยๆลดลงต่อเนื่องไปจนถึงปี 2563 จากการบริหารจัดการเก็บหนี้และเข้มงวดปล่อยสินเชื่อลูกค้ามากขึ้น

4) Collection: ตามเก็บหนี้เสียได้มีประสิทธิภาพมากขึ้นอีกหนึ่งกลไกสำคัญที่จ ะMaintain ความสามารถในการทำกำไร แบ่งออกเป็น การตรวจสอบความสามารถในการชำระของลูกค้าและความเสี่ยงอย่างรอบคอบ โดยบริษัทมีนโยบายเพิ่มความเข้มงวดและตรวจสอบคุณภาพของรถยนต์ที่นำมาค้ำประกัน ให้มีความรัดกุมมากขึ้นทำให้สามารถขายทอดสู่ตลาดได้ง่ายและมีราคาสูง

ทั้งนี้ Outsource Third party บริษัทตามเก็บหนี้ทีมมีประสบการณ์และ เลือกใช้บริการหลายบริษัทเพื่อให้เข้าถึงฐานข้อมูลของลูกค้ารายย่อยในวงกว้าง หากตามยึดรถยนต์มาได้เร็ว จะบริหารต้นทุนได้ดีและลดโอกาสในการขายขาดทุน ท้ายที่สุดผลประกอบการจะมีเสถียรภาพมากขึ้น

5) Portfolio เล็กแค่ 2.75 พันลบ. ยังเติบโตได้อีกมาก: ใช้ระยะเวลาเพียง 11 ไตรมาส ก็สามารถสร้างพอร์ตสินเชื่อทีมีคุณภาพ ณ สิ้นปี 2560 มูลค่า 2.75 พันลบ. โดยหากพิจารณาจาก หนี้สินต่อครัวเรือนของผู้มีรายได้น้อย-กลางยังคงอยู่ในระดับสูง จึงให้น้ำหนักตลาดสินเชื่อจำนำทะเบียนรถยนต์ยังคงสามารถเติบโตได้ หนุน AMANAH พอร์ตขยายใหญ่ขึ้น ตามอุตสาหกรรม จึงคาดพอร์ตสินเชื่อรวมในปี 2561/2562/2563 ที่ระดับ 3.49 พันลบ. / 3.98 พันลบ. / 4.87 พันลบ. เพิ่มขึ้น 27%/22%/21% จากปีก่อนตามลำดับ

ด้านราคาหุ้น AMANAH ล่าสุด ณ เวลา 12.08 น. อยู่ที่ระดับ 2.06 บาท ปรับตัวขึ้น 0.04 บาท หรือ 1.98% สูงสุดที่ระดับ 2.08 บาท ต่ำสุดที่ระดับ 2.04 บาท ด้วยมูลค่าซื้อขาย 12.39 ล้านบาท

Back to top button