JKN บวกกว่า5% คาดกำไรปีนี้พุ่ง 45% สู่ระดับ 270 ลบ. ทุบสถิติใหม่ รับรายได้ลิขสิทธิ์โตเด่น
JKN บวกกว่า5% คาดกำไรปีนี้พุ่ง 45% สู่ระดับ 270 ลบ. ทุบสถิติใหม่ รับรายได้ลิขสิทธิ์โตเด่น โดยปิดตลาดวันนี้ อยู่ที่ 11.80 บาท บวก 0.60 บาท หรือ 5.36% สูงสุดที่ 12 บาท ต่ำสุดที่ 11.20 บาท ด้วยมูลค่าซื้อขาย 191.54 ล้านบาท
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า บริษัท เจเคเอ็น โกลบอล มีเดีย จำกัด (มหาชน) หรือ JKN ปิดตลาดวันนี้ อยู่ที่ 11.80 บาท บวก 0.60 บาท หรือ 5.36% สูงสุดที่ 12 บาท ต่ำสุดที่ 11.20 บาท ด้วยมูลค่าซื้อขาย 191.54 ล้านบาท
ทั้งนี้ ราคาหุ้นปรับตัวเพิ่มขึ้นในรอบกว่า 2 เดือน นับตั้งแต่ราคาหุ้นอยู่ที่ระดับ 11.80 บาท เมื่อวันที่ 21 พ.ค.61
ด้าน บล.เคทีบี (ประเทศไทย) ระบุในบทวิเคราะห์ (23 ก.ค.61) แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 13 บาท/หุ้น โดย JKN เป็นผู้นำเข้าและจัดจำหน่ายคอนเทนต์ประเภทซีรี่ส์รายใหญ่ที่สุดของไทย โดยคอนเทนต์ที่ JKN นำเข้าส่วนใหญ่จะเป็นซี่รี่ส์ในแถบประเทศเอเชีย และได้ซื้อลิขสิทธิ์ CNBC เพื่อมาผลิตช่องข่าว CNBC Thailand ทั้งนี้เรามองว่าปัจจุบันการแข่งขันในธุรกิจทีวีดิจิทัลมีแนวโน้มรุนแรงขึ้นทั้งจากจำนวนช่องที่มีถึง 25 ช่อง และกสทช. ยังไม่อนุญาตให้ช่องทีวีดิจิทัลคืนใบอนุญาตได้ส่งผลให้ Demand ของคอนเทนต์เพิ่มมากขึ้น นอกเหนือจากนี้ต้นทุนการผลิตคอนเทนต์เองจะสูงกว่าการซื้อจาก JKN
ทั้งนี้ คาดว่ากำไรสุทธิอยู่ที่ 69 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 92% จากปีก่อน ทรงตัวจากไตรมาสก่อน หนุนโดยรายได้ค่าลิขสิทธิ์ที่เติบโตโดดเด่นอยู่ที่ 11% จากปีก่อน จากการเร่งส่งมอบลิขสิทธิ์ contents ซีรี่ส์อินเดียและฟิลิปปินส์ที่เร็วขึ้น และเริ่มรับรู้รายได้จากการขายซีรี่ส์อินเดียให้ประเทศกัมพูชาและพม่าเป็นไตรมาสแรก คาดว่ารายได้จากต่างประเทศใน 2561 จะอยู่ที่ 45 ล้านบาท รวมถึงรายได้จากการขายสินค้าที่เพิ่มขึ้นอยู่ที่ 40 ล้านบาท
อีกทั้ง SG & A to total sales ปรับตัวลดลงอยู่ที่ 14% จากปีก่อน และ Gross profit marginขยายตัว 1.6% จากปีก่อน อยู่ที่ 43.6% เพิ่มจาก 42%ในไตรมาส 2/60 แต่ลดลง 1.2% จากไตรมาสก่อน จาก Amortisation ที่เพิ่มขึ้น และLocalized content ที่ปรับตัวสูงขึ้นจากการเร่งผลิตคอนเทนต์
นอกจากนี้ JKN ได้เซ็นต์สัญญาเป็นตัวแทนจำหน่ายลิขสิทธิ์ละครไทยของ BEC (ช่อง 3) และ RS (ช่อง 8) ไปยังต่างประเทศ คาดว่ารายได้จากการจำหน่ายละครจะเริ่มรับรู้ในไตรมาส 3/61 นอกเหนือจากนี้ JKN ยังได้จำหน่ายลิขสิทธิ์ซีรี่ส์อินเดียไปยังประเทศกัมพูชาและพม่า เริ่มรับรู้รายได้ตั้งแต่ไตรมาส 2/61 อยู่ที่ 45 ล้านบาท เราคาดว่ารายได้จากต่างประเทศในปี 2561 จะอยู่ที่ 70 ล้านบาท มองว่าการรุกตลาดต่างประเทศสำหรับ JKN ยังอยู่ในระยะเริ่มต้นยังมีโอกาสเติบโตอีกในระยะยาว
ทั้งนี้ คาดว่ากำไรสุทธิปี 2561 จะสร้างสถิติสูงสุดใหม่ อยู่ที่ 272 ล้านบาท เติบโตโดดเด่น 44.8% จากปีก่อน หนุนโดยรายได้ค่าลิขสิทธิ์ที่เติบโตโดดเด่น 21% จากปีก่อน จาก Demand ของ content ที่เพิ่มมากขึ้นจากช่องทีวีดิจิทัล คาดว่า JKN จะได้ลูกค้าช่องทีวีดิจิทัลเพิ่มอีก 3 รายในช่วงครึ่งปีหลัง 2561 และรายได้จากการจำหน่ายคลิปข่าว CNBC และลิขสิทธิ์ซีรี่ส์อินเดียและไทยไปยังต่างประเทศ พร้อมทั้ง Gross profit margin ขยายตัวอยู่ที่ 44.1%ในปี 2561 จาก 42.3% ในปี 2560 จากการเร่งส่งมอบลิขสิทธิ์ ซีรี่ส์ให้ลูกค้ากลุ่มทีวีดิจิทัลซึ่งมีมาร์จิ้นสูง
อย่างไรก็ตาม เริ่มต้นให้คำแนะนำ “ซื้อ” ที่ราคาเป้าหมาย 13.00 บาท อิง DCF (WACC 11.1%, TG 3%) เทียบเท่า PER ที่ 26x และมีPEG 0.87x (อิง CAGR 2017-20E = 29.79%) ซึ่งต่ำกว่า peer ชอบแผนธุรกิจของ JKN ทั้งการรุกขยายตลาดในไทยและต่างประเทศ มองว่า Demand ของ content ในไทยและต่างประเทศยังขยายตัวอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในไทยซึ่งทีวีดิจิทัลมีทั้งหมด 25 ช่องส่งผลให้การแข่งขันรุนแรง มองว่าผู้ประกอบการทีวีดิจิทัลต้องการคอนเทนต์ที่มีคุณภาพและต้นทุนไม่สูงมากเพื่อควบคุมต้นทุน ซึ่งคอนเทนต์ที่ซื้อจากทาง JKN จะมีราคาต่ำกว่าการผลิตรายการเอง
อีกทั้ง JKN เป็นผู้นำเข้าและจัดจำหน่าย ซีรี่ส์เอเชียที่ใหญ่ที่สุดในไทย ส่งผลให้ JKN ได้เปรียบคู่แข่งในด้านราคาขายและการทำสัญญา Output deal ทั้งนี้ยังไม่ได้รวมรายได้จาก CNBC Phase II ในการประเมินราคาหุ้น
อย่างไรก็ตาม รายได้หลักของ JKN มาจากรายได้ค่าลิขสิทธิ์ สำหรับปี 2561 คาดว่ารายได้จากลิขสิทธิ์จะอยู่ที่ 1,290 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 21% จากปีก่อน และมีสัดส่วนรายได้อยู่ที่ 93% ของรายได้ทั้งหมด