เปิด 7 หุ้น SET ราคาดิ่งนรก! 7 เดือนนักลงทุนเจ๊งเกิน 50%

เปิด 7 หุ้น SET ราคาดิ่งนรก!  7 เดือนนักลงทุนเจ๊งเกิน 50% นำโดย BEAUTY,SDC,MALEE,TTCL,ECL,TRC,JMART


ข่าวหุ้นธุรกิจออนไลน์ ได้ทำการสำรวจราคาหุ้นของบริษัทจดทะเบียน (บจ.)กลุ่ม SET ในรอบ 7 เดือน 2561 โดยเทียบราคาหุ้นปิด ณ วันที่ 29 ธ.ค.60-31ก.ค.61 โดยทิศทางราคาหุ้นในช่วง 7 เดือนที่ผ่านมานับว่ามีแรงกดดันหลายด้าน อาทิ ประเด็นกลุ่มธนาคารมีนโยบายยกเลิกเก็บค่าธรรมเนียม

อีกทั้งความวิตกกังวลเกี่ยวกับสงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีน หลังจากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ได้ลงนามในคำสั่งให้เรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากจีน ไม่พียงเท่านั้นนักลงทุนต่างชาติยังเทขายอย่างต่อเนื่องยิ่งส่งผลให้ตลาดผันผวนอย่างหนัก โดยเฉพาะในช่วงเดือนเม.ย.-พ.ค.2561 ดัชนีตลาดหุ้นไทยอ่อนตัวหลุดแนวรับสำคัญทั้ง 1800 จุด และ 1700 จุด และ 1600 จุด

ต่อมาช่วงเดือนก.ค.61 ดัชนีเริ่มฟื้นตัวและขึ้นมายืนเหนือระดับ 1700 จุดได้อีกครั้ง เนื่องจากตลาดได้รับแรงหนุนจากผลประกอบการกลุ่มแบงก์ที่ออกมาดีกว่าคาดการณ์ นอกจากนั้นยังได้แรงหนุนจากการซื้อสุทธิของนักลงทุนสถาบันจากการเพิ่มน้ำหนักของ Active fund manager ภายหลังจาก Valuation ของหุ้นไทยอยู่ในระดับที่น่าสนใจ

อย่างไรก็ตามแม้ตลาดเริ่มฟื้นตัวได้แต่ภาพรวมดัชนีในช่วง 7 เดือนที่ผ่านมายังติดลบ โดยดัชนี SET ในรอบ 7 เดือนปรับตัวลดลง 2.96% โดยเทียบจากดัชนียืนอยู่ที่ระดับ 1753.71 จุด (29 ธ.ค.60) มาอยู่ที่ระดับ 1701.79 จุด ( 31ก.ค.61) ลบไป 51.92 จุด นอกจากนี้ยังมีหุ้นที่ราคาปรับตัวลงแรงและราคาร่วงหนักเกิน 50% อาทิ BEAUTY,SDC,MALEE,TTCL,ECL,TRCและJMART โดยหุ้นที่จะนำเสนอข้อมูลประกอบขอนำเสนอเพียง 5 อันดับแรกของตารางดังนี้

อันดับ 1 บริษัท บิวตี้ คอมมูนิตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ BEAUTY  ราคาหุ้นปรับตัวลดลง 62.50% โดยราคาหุ้นปรับตัวลดลงจากระดับ 20.80 บาท (29 ธ.ค.60) มาอยู่ที่ระดับ 7.80 บาท (31ก.ค.61) โดยราคาหุ้นปรับตัวลงแรงเกิดจากหุ้นปรับตัวขึ้นแรงและนักลงทุนเทขายทำกำไร

ขณะเดียวกันผู้บริหารออกมาแถลงข่าวยอมรับว่ารายได้ในช่วงไตรมาส 2/61 พลาดเป้า หลังจากความนิยมสินค้า BEAUTY COTTAGE ลดลง นอกจากนี้โบรกเกอร์เตรียมปรับลดประมาณการผลงานบริษัทยิ่งทำให้นักลงทุนกังวลและเทขายหุ้นจนร่วงติดฟลอร์

ทั้งนี้แม้บริษัทจะมีแผนซื้อหุ้นคืน 64 ล้านหุ้น วงเงิน 950 ล้านบาท โดยเริ่มตั้งแต่วันที่ 24 ก.ค.- 23 ม.ค.62 ราคาหุ้นก็ยังไม่ฟื้นในช่วง 7 เดือนที่ผ่านมา

 

อันดับ 2 บริษัท สามารถ ดิจิตอล จำกัด (มหาชน) หรือ SDC ราคาหุ้นปรับตัวลดลง 61.29% โดยราคาหุ้นปรับตัวลดลงจากระดับ 0.62 บาท (29 ธ.ค.60) มาอยู่ที่ระดับ 0.24 บาท (31ก.ค.61) คาดนักลงทุนทยอยขายหุ้นตลอด 7 เดือน เนื่องจากพื้นฐานธุรกิจไม่สดใสนับตั้งแต่ขาดทุนปี 2559

โดยในช่วงดังกล่าวบริษัทประกาศผลประกอบการปี60  ขาดทุน 1,924.82 ล้านบาท จากช่วงเดียวกันของปีก่อนขาดทุน 719.64 ล้านบาท ยิ่งทำให้นักลงทุนเทขายหุ้นหนัก ส่วนผลการดำเนินงานไตรมาส 1/61 ขาดทุนสุทธิ 145.10 ลบ. ลดลงจากปีก่อน 199.66 ลบ. เนื่องจากค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารลดลง

อย่างไรก็ตามปีนี้บริษัทคาดจะมีรายได้อย่างน้อย 3 พันล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 60 ที่คาดว่าจะทำได้ลดลงมากเมื่อเทียบจากปี 59 ขณะที่ในปีนี้มีโอกาสที่จะพลิกมีกำไรได้ ซึ่งจะเร็วกว่าแผนที่คาดว่าจะกลับมามีกำไรในปี 62  หลังจากเปลี่ยนธุรกิจจำหน่ายมือถือ มาเป็นธุรกิจ Digital Trunked Radio และให้เช่าเสาสัญญาณ Co-Tower ในเขตอุทยานแห่งชาติ ที่จะเริ่มรับรู้รายได้ปีนี้ โดยบริษัทได้ลงทุนโครงข่ายรองรับ Digital Trunked Radio จำนวน 1,000 สถานี วงเงิน 2.5 พันล้านบาท สามารถครอบคลุมทั่วประเทศ

ทั้งนี้ คาดว่าปีนี้จะมีลูกค้า 50,000 -100,000 ราย และคาดว่าจะได้เพิ่มอีก 1 แสนราย จากหน่วยงานราชการ ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างรอขั้นตอนการอนุมัติ  และตั้งเป้าเพิ่มลูกค้าเป็น 3-4 แสนรายภายในปี 63 โดยบริษัทจะมีรายได้จากค่าใช้บริการรายเดือนๆละ 800 บาทต่อเครื่อง และรายได้จากการจำหน่ายเครืองลูกข่ายวิทยุคมนาคมระบบดิจิทัล (Digital Trunked Radio) ราคาเครื่องละ 2-6 หมื่นบาท ขณะเดียวกันการลงทุนเสาสัญญาณ มีวงเงิน 2.5 พันล้านบาท ซึ่งทยอยลงทุนในช่วงปลายปี 60 และจะลงทุนในปีนี้อีก 200-300 ต้น

 

อันดับ 3 บริษัท มาลีกรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ MALEE  ราคาหุ้นปรับตัวลดลง 67.84% โดยราคาหุ้นปรับตัวลดลงจากระดับ 38.25 บาท (29 ธ.ค.60) มาอยู่ที่ระดับ 15.70 บาท (31ก.ค.61) ราคาหุ้นร่วงหนักในรอบ 7 เดือน ส่วนใหญ่มาจากนักลงทุนผิดหวังผลการดำเนินงานปี 60 ที่ประกาศออกมาในช่วงดังกล่าว

ขณะเดียวกันผลงานไตรมาส 1/61 กำไรสุทธิลดลงเหลือ 9.46 ลบ. จากปีก่อนมีกำไร 118.50 ลบ. เนื่องจากบริษัทมียอดขายรวมลดลงมาอยู่ที่ระดับ 1.36 พันล้านบาท ลดลง 10% เมื่อเทียบกับปีก่อน

อย่างไรก็ตามบริษัทคาดผลงานปีนี้จะกลับมาเติบโตอย่างโดดเด่นตามแผนกลยุทธ์ธุรกิจระยะยาว 9 ปี (58-66) หลังจากช่วงที่ 1 (58-60) ได้วางรากฐานและความเข้มแข็งขององค์กรในอนาคต ด้วยการลงทุนปรับปรุงประสิทธิภาพด้านการผลิตและบุคลากร รวมทั้งด้านวิจัยพัฒนาสินค้าที่มีความหลากหลายและมีมูลค่าเพิ่มสูง นอกจากนั้นยังสร้างพันธมิตรทางธุรกิจทั้งในประเทศและต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง

 

อันดับ 4 บริษัท ทีทีซีแอล จำกัด (มหาชน) หรือ TTCL ราคาหุ้นปรับตัวลดลง 52.91 % โดยราคาหุ้นปรับตัวลงจากระดับ 17.20 บาท (29 ธ.ค.60) มาอยู่ที่ระดับ 8.10 บาท (31ก.ค.61)  ส่วนใหญ่มาจากนักลงทุนผิดหวังผลการดำเนินงานปี 2560 ออกมาไม่สดใส และในช่วงดังกล่าวบทวิเคราะห์ได้ประเมินว่าธุรกิจยังมีความเสี่ยงจากหนี้เสียโครงการ Rock Salt

ด้านบล.เอเชีย เวลท์  ระบุในบทวิเคราะห์ว่า TTCL (ซื้อเก็งกำไร; AWS TP 12.6 บาท) อนุมัติจัดสรรหุ้นเพิ่มทุน 56 ล้านหุ้นให้กับ Sojitz Corperation ในราคา 7.795 บาทต่อหุ้น คิดเป็นเงิน 436.52 ล้านบาท จองซื้อและชำระค่าหุ้นวันที่ 3 ส.ค. 61 ถึง 31 ส.ค. 61 Comment: การขายหุ้นเพิ่มทุนดังกล่าว จะช่วยเสริมสภาพคล่องให้กับบริษัท อีกทั้งยังเป็นโอกาสในการร่วมมือกัน เพื่อขยายธุรกิจในต่างประเทศอีกด้วย

 

อันดับ 5  บริษัท ตะวันออกพาณิชย์ลีสซิ่ง จำกัด (มหาชน) หรือ ECL ราคาหุ้นปรับตัวลดลง 52.17% โดยราคาหุ้นปรับตัวลงจากระดับ 4.04 บาท (29 ธ.ค.60) มาอยู่ที่ระดับ 1.91 บาท (31ก.ค.61)  โดยราคาหุ้นปรับตัวแรงเนื่องจากมั่นใจพื้นฐานธุรกิจที่มีกำไร แต่เนื่องจากช่วงที่ผ่านมามีความกังวลเรื่องเกณฑ์คุม non-bank หรือเกณฑ์คุมสัญญาเช่าซื้อใหม่ส่งผลให้ราคาหุ้นมีแรงขายทำกำไรต่อเนื่อง

บล.บัวหลวง  ระบุว่า สำหรับไตรมาส 2/61 คาดบริษัทจะกลับมาแสดงผลกำไรเติบโตอีกครั้งทั้ง YoY และ QoQ  จากสินเชื่อที่ประเมินว่าจะเติบโตแรงอย่างต่อเนื่องและได้อานิสงค์จากการจบงาน Motor Show ซึ่งเรามองว่าจะหนุนให้การหมุนเวียนของรถมือ 2 ในตลาดมีเพิ่มขึ้น ซึ่ง ECL ได้ประโยชน์จากการปล่อยสินเชื่อให้กับรถยนต์มือ2 นี้ รวมถึงการตั้งสำรองเพื่อการเตรียมความพร้อม IFRS9 คาดจะลดลงจาก ไตรมาส1/61 ส่งผลให้กำไรดีขึ้น

คงประมาณการกำไรปี 2017-18 ที่ 172 และ 251 ล้านบาท โดยเรายังคงคาดบริษัทจะสามารถรักษาส่วนต่างดอกเบี้ย (NIM) ได้สูงในระดับ 6.10% โดยเรามองว่าหุ้นกู้ของบริษัทที่ได้อันดับความน่าเชื่อถือ BBB- โดยทริสจะเป็นปัจจัยช่วยให้บริษัทสามารถล๊อคต้นทุนการเงินให้ต่ำไปได้อีกหลายปี

อย่างไรก็ดีเราประเมินว่าผลกระทบต่อผลประกอบการจะจำกัด และคาดกำไรจะเริ่มกลับมาเติบโตได้ดีตั้งแต่ 2Q18 ดังนั้น จากราคาหุ้นปัจจุบันที่เทรดบน P/E เพียง 15 เท่า มองเป็นโอกาสในการทยอยสะสม ราคาเป้าหมาย 3.80 บาท อิง PE 25 เท่า เท่ากับค่าเฉลี่ยในอดีต และใกล้เคียงกับค่าเฉลี่ยกลุ่มที่ PE 20-25 เท่า

*ทั้งนี้ข้อมูลที่มีการนำเสนอข้างต้น เป็นเพียงข้อแนะนำจากข้อมูลพื้นฐานเพื่อประกอบการตัดสินใจของนักลงทุนเท่านั้น และมิได้เป็นการชี้นำ หรือเสนอแนะให้ซื้อหรือขายหลักทรัพย์ใดๆการตัดสินใจซื้อหรือขายหลักทรัพย์ใดๆ ของผู้อ่าน ไม่ว่าจะเกิดจากการอ่านบทความในเอกสารนี้หรือไม่ก็ตาม ล้วนเป็นผลจากการใช้วิจารณญาณของผู้อ่าน

Back to top button