BCPG เดินหน้าขยายธุรกิจพลังงานเต็มสูบ ฟันธง EBITDA ปีนี้โตตามเป้า 20%

BCPG เดินหน้าขยายธุรกิจพลังงานเต็มสูบ ฟันธง EBITDA ปีนี้โตตามเป้า 20%


นายบัณฑิต สะเพียรชัย กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท บีซีพีจี จำกัด (มหาชน) หรือ BCPG เปิดเผยว่า ในช่วงครึ่งหลังของปีนี้บริษัทจะมีการการเติบโตอย่างต่อเนื่องจากโครงการโซลาร์ฟาร์มสำหรับหน่วยงานราชการและสหกรณ์ภาคการเกษตรกับองค์การสงเคราะห์ทหารผ่านศึกในพระบรมราชูปภัมภ์ (อผศ.) ที่ จ.สระบุรี และกาญจนบุรี ซึ่งได้เปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์แล้วในเดือนก.ค.ที่ผ่านมา และเริ่มรับรู้รายได้ด้วยอัตราการรับซื้อไฟฟ้าแบบ FiT ที่ 4.12 บาทต่อหน่วย เป็นระยะเวลา 25 ปี โดยมีกำลังการผลิตตามสัญญาที่ 8.94 เมกะวัตต์ (MW)

ขณะเดียวกัน โครงการนำร่องที่ T77 ของการซื้อขายไฟฟ้าผ่านอินเตอร์เน็ตแบบ Peer-to-Peer ที่บริษัทฯได้ร่วมมือกับบริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) หรือ SIRI และบริษัท Power Ledger จากประเทศออสเตรเลีย จะสามารถเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ได้ในปลายเดือนส.ค.นี้

ส่วนการขยายธุรกิจยังคงเป็นไปตามแผนที่ตั้งไว้ อาทิ การดำเนินการติดตั้งโซลาร์รูฟท็อปในโครงการต่างๆ  การดำเนินการก่อสร้างและพัฒนาโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลมที่อำเภอปากพนัง จ.นครศรีธรรมราช ขนาดกำลังการผลิตติดตั้ง 10 MW โดยโครงการนี้ได้รับอัตราการรับซื้อไฟฟ้าแบบอัตราส่วนเพิ่ม (adder) ที่ 3.5 บาท จากค่าไฟฐาน

สำหรับแผนในการเข้าซื้อกิจการ การร่วมทุน หรือการลงทุนใหม่นั้น บริษัทฯยังให้ความสนใจในธุรกิจพลังงานสะอาดทุกรูปแบบที่มีศักยภาพในการเติบโตและสอดคล้องกับทิศทางการเติบโตของบริษัท โดยใช้อัตราผลตอบแทนจากการลงทุนในส่วนของผู้ถือหุ้นของโครงการ (EIRR) ในการวิเคราะห์ความเป็นไปได้ของโครงการที่จะลงทุน โดย EIRR นั้นต้องอยู่ในช่วงร้อยละ 12 – 15

ทั้งนี้ นอกจากการขยายธุรกิจอย่างต่อเนื่อง บริษัทฯ ยังได้รับการยอมรับทั้งในระดับประเทศและระดับนานาชาติ โดยช่วงที่ผ่านมาได้รับรางวัล Most Sustainable Company – Thailand จาก The European Global Business Awards 2018 รางวัล Best Clean Energy Community Solutions Southeast Asia 2018 จาก Capital Finance International (CFI.co) และได้รับคัดเลือกโดยสถาบันไทยพัฒน์ให้เป็น 1 ในบริษัทกลุ่มหลักทรัพย์ ESG100 ที่มีผลการดำเนินงานโดดเด่นด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (Environmental Social and Governance: ESG) จากการประเมินบริษัทจดทะเบียน ในปี พ.ศ. 2561 จำนวนทั้งสิ้น 683 บริษัทอีกด้วย

 

ด้านผลการดำเนินงานไตรมาส 2/61 บริษัทฯ มีการรับรู้ผลการดำเนินงานจากการจำหน่ายไฟของบริษัทฯ และรับรู้ส่วนแบ่งกำไรจากการลงทุนในบริษัทย่อย โดยมีรายได้จากการขายไฟฟ้าประมาณ 874 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 9.0 เมื่อเทียบกับไตรมาส 1/61 อย่างไรก็ตาม รายได้จากการจำหน่ายไฟฟ้าลดลงร้อยละ 1.8 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2560 สาเหตุเกิดจากความเข้มของแสงในไตรมาสที่ 2/61 ลดลงทั้งในประเทศไทยและประเทศญี่ปุ่น

สำหรับส่วนแบ่งกำไรจากการลงทุนโรงไฟฟ้าพลังงานลมที่ประเทศฟิลิปปินส์และโรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนใต้พิภพในประเทศอินโดนีเซีย มีการรับรู้ส่วนแบ่งกำไรเป็นจำนวน 19 ล้านบาท ลดลง 50 ล้านบาท หรือ คิดเป็นร้อยละ 72.5 เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน สาเหตุหลักมาจากค่าใช้จ่ายทางบัญชีที่เกี่ยวข้องกับการทำรีไฟแนนซ์โครงการที่ประเทศอินโดนีเซียเพื่อขยายเวลาการชำระหนี้และเพิ่มกระแสเงินสดให้ดีขึ้น โดยจะมีการบันทึกเพียงครั้งเดียวในไตรมาสนี้

ทั้งนี้ บริษัทฯ ขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนทั้งสิ้น 66.7 ล้านบาท ในขณะที่ค่าใช้จ่ายในการบริหาร (Administrative Expense) ลดลงจากไตรมาส 1/61 ร้อยละ 8 และ ลดลงร้อยละ 27.2 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ส่งผลให้บริษัทฯ มีกำไรสุทธิประมาณ 419 ล้านบาท

อนึ่งก่อนหน้านี้ บริษัทตั้งเป้าหมายทำกำไรก่อนหักดอกเบี้ย ภาษี และค่าเสื่อม (EBITDA) งวดปี 2561 จะเติบโต 20% จากปี 2560 ซึ่งเป็นผลจากการรับรู้ผลการลงทุนในโครงการโรงไฟฟ้าที่เปิดดำเนินการในรูปแบบเชิงพาณิชย์ทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศ

Back to top button