“เจ้าพระยามหานคร” จ่อขายไอพีโอ 250 ล้านหุ้น เคาะเทรด mai ไตรมาส 4/61
"เจ้าพระยามหานคร" หรือ CMC จ่อขายไอพีโอ 250 ล้านหุ้น เคาะเทรด mai ไตรมาส 4/61 โดยมี บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน
บริษัท เจ้าพระยามหานคร จำกัด ผมหาชน) หรือ CMC เปิดเผยว่า บริษัทเตรียมเสนอขายหุ้นเพิ่มทุนแก่ประชาชนทั่วไปครั้งแรก (IPO) จำนวน 250 ล้านหุ้น พร้อมเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (MAI) ภายในไตรมาส 4/61 เพื่อนำเงินไปใช้ในการซื้อที่ดินและลงทุนโครงการใหม่ ตลอดจนสร้างความเข้มแข็งทางการเงิน โดยมี บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน
อนึ่ง CMC เป็นผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์เพื่อที่อยู่อาศัยมากว่า 24 ปี เน้นประเภทคอนโดมิเนียมเป็นหลักและทำเลแนวเส้นทางรถไฟฟ้า รวมทั้งอาคารสำนักงานให้เช่า และยังมีกลุ่มธุรกิจรับเหมาก่อสร้างที่รับงานโครงการของบริษัทในเครือเป็นหลัก
ปัจจุบันบริษัทมีโครงการอสังหาริมทรัพย์ที่สร้างเสร็จพร้อมโอน 25 โครงการ มูลค่าคงเหลือกว่า 3,800 ล้านบาท ที่สามารถโอนรับรู้รายได้ได้ทันที และมีโครงการระหว่างก่อสร้างอีก 3 โครงการ มูลค่าประมาณ 2,800 ล้านบาท ซึ่งจะแล้วเสร็จภายในปีนี้ 1 โครงการ และจะแล้วเสร็จในปี 62 อีกจำนวน 2 โครงการ
ขณะที่บริษัทมีโครงการที่จะพัฒนาเพิ่มเติมตามแผนงานอีก 10 โครงการ รวมมูลค่ากว่า 10,000 ล้านบาทภายใน 3 ปี ซึ่งปัจจุบันมีที่ดินสำหรับการพัฒนาโครงการรองรับแล้วทั้งหมด โดยมีโครงการที่ผ่านการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) แล้ว 5 โครงการ มูลค่ารวม 5.5 พันล้านบาท
ด้านนายวิเชียร แพทยานันท์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร CMC เปิดเผยว่า บริษัทมีเป้าหมายการดำเนินธุรกิจในการเป็นผู้ประกอบการชั้นนำในธุรกิจพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ครบวงจร โดยโครงการของบริษัทฯ จะเป็นโครงการอสังหาริมทรัพย์ที่มีลักษณะโดดเด่น และให้ความคุ้มค่าสูง ซึ่งบริษัทฯมุ่งเน้นการพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมภายใต้แบรนด์ที่ได้รับการยอมรับอย่างดี ได้แก่ ชาโตว์ อินทาวน์ ซึ่งเป็นแบรนด์ที่ประสบความสำเร็จอย่างสูงสำหรับคอนโดมิเนียมประเภท Low-Rise
นอกจากนี้ยังมีแบรนด์ แบงค์คอก ฮอไรซอน และแบงค์คอก เฟลิซ บริษัทยังพัฒนาโครงการทาวน์โฮม และบ้านเดี่ยวระดับพรีเมี่ยม ภายใต้แบรนด์ คาซ่า ยูเรก้า, คาซ่า ดีว่า และ เดอะ ริช พร้อมมุ่งเน้นพัฒนาโครงการตามแนวเส้นทาง โครงการรถไฟฟ้าสายสีต่างๆ
โดยในระยะเวลา 3 ปีที่ผ่านมาบริษัทมีผลประกอบการที่ดีอย่างต่อเนื่อง และสามารถรักษาอัตรากำไรขั้นต้นสูงมาโดยตลอด โดยในปี 60 มีรายได้รวม 1,525 ล้านบาท จากปี 59 มีรายได้ 2,091 ล้านบาท และปี 58 มีรายได้ 1,419 ล้านบาท ส่วนกำไรขั้นต้นอยู่ที่ 634 ล้านบาทในปี 60 จาก 879 ล้านบาทในปี 59 และ 558 ล้านบาทในปี 58 และมีกำไรสุทธิ 127 ล้านบาทในปี 60 จาก 156 ล้านบาทในปี 59 และ 47 ล้านบาทในปี 58
ทั้งนี้ บริษัทคาดว่ารายได้รวมของปี 61 จะเติบโตมากกว่าปีก่อนที่ทำได้ราว 1.5 พันล้านบาท ปัจจุบันมียอดขายรอโอน (Backlog) ณ สิ้นไตรมาสที่ 1/61 ที่ระดับ 1.2 พันล้านบาท ซึ่งคาดว่าจะเริ่มทยอยรับรู้เป็นรายได้ในปีนี้จนถึงปี 62 ปัจจุบันบริษัทมีสัดส่วนรายได้จากโครงการคอนโดมิเนียม 93% และโครงการแนวราบ 7%
ปัจจุบัน CMC มีทุนจดทะเบียน 1,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นทุนที่ชำระแล้ว 750 ล้านบาท และมีแผนจะระดมทุนด้วยการเสนอขายหุ้น IPO จำนวน 250,000,000 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้ 1 บาท/หุ้น หรือคิดเป็นไม่เกิน 25% ของจำนวนหุ้นทั้งหมด โดยบริษัทมีแผนจะนำเงินที่ได้จากการเพิ่มทุนไปซื้อที่ดินและใช้ในการลงทุนโครงการใหม่ ตลอดจนเสริมสร้างความเข้มแข็งทางการเงิน จากปัจจุบันมีอัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (D/E) ที่ประมาณ 2 เท่าให้มีความแข็งแกร่งเพิ่มขึ้น และเพิ่มเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินงานเพื่อต่อยอดความแข็งแกร่งให้ธุรกิจ และ สร้างผลตอบแทนที่ดีให้แก่ ผู้ถือหุ้นทุกรายอย่างต่อเนื่อง”
“ทุกบริษัทที่เปลี่ยนตัวเองจากบริษัทเอกชนเป็นบริษัทมหาชนก็ต้องมุ่งหวังในการเติบโต เราพบว่าปัจจุบันนี้ส่วนแบ่งทางการตลาดของบริษัทมหาชนมีสัดส่วนค่อนข้างสูง การที่เราจะเป็นบริษัทเอกชนต่อไปจะไม่สามารถทำให้เราแข่งขันได้ ซึ่งการเปลี่ยนตัวเองเป็นบริษัทมหาชนเรามั่นใจว่าเราสามารถทำส่วนแบ่งการตลาดได้ในอนาคต” นายแพทย์วิเชียร กล่าว