GULF ประกาศชัดเวียดนาม “บ้านหลังที่สอง” รุกหนักลม-แดด ล่าสุดเซ็นวินด์-โซลาร์ 340MW
GULF ประกาศชัดเวียดนาม "บ้านหลังที่สอง" รุกหนักลม-แดด ล่าสุดเซ็นวินด์-โซลาร์ 340MW
นายรัฐพล ชื่นสมจิตต์ รองกรรมการผู้จัดการบริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ GULF เปิดเผยในงานสัมมนา “หุ้นแกร่งชนะตลาด” จัดโดยหนังสือพิมพ์ข่าวหุ้นธุรกิจถึงแนวโน้มผลการดำเนินงานครึ่งหลังปี 2561 เติบโตต่อเนื่อง
โดยรายได้ปีนี้จะมากกว่า 10,000 ล้านบาท หลังจากมีโรงไฟฟ้าที่จะเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ (COD) อีก 2 โครงการจากปัจจุบันบริษัทมีโครงการโรงไฟฟ้า 28 โครงการ เปิดดำเนินการแล้ว 17 โครงการ ส่วนใหญ่ประมาณกว่า 98-99% เป็นโครงการโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติ และหลังโรงไฟฟ้าทุกโครงการเปิดดำเนินการรายได้จะอยู่ที่ 130,000 ล้านบาทช่วง 7 ปีข้างหน้า
ส่วนกลุ่มธุรกิจที่บริษัทให้ความสนใจที่จะขยายอีกจำนวนมาก คือ กลุ่มพลังงานทดแทนโดยเฉพาะในประเทศเวียดนาม ซึ่งบริษัทฯ จะขยายโครงการในเวียดนามให้เติบโตเทียบเท่ากับในประเทศไทย หลังจากล่าสุดบริษัทได้เข้าไปลงทุนในเวียดนาม มีกำลังการผลิตทั้งสิ้นเกือบ 500 เมกะวัตต์ (MW) แบ่งเป็นโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ 150 เมกะวัตต์ และโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลม 310 เมกะวัตต์ โดยเข้าร่วมทุนกับพันธมิตรท้องถิ่นถือหุ้น 49% ซึ่งมีกำหนด COD ในเดือนเม.ย.2562
“ในช่วงนี้บริษัทจะเน้นขยายธุรกิจในต่างประเทศค่อนข้างเยอะ โดยเฉพาะประเทศเวียดนาม ที่มีการเจรจาถึงการลงทุนทั้งกลุ่มพลังงานทดแทนและรูปแบบอื่นด้วย เนื่องจากมีความต้องการใช้ไฟฟ้าอีกมากเนื่องจากมีประชากรสูงถึงประมาณ 90 ล้านคน ขณะที่มีอัตราผลตอบแทน (IRR) สูง มองเวียดนามเป็นเหมือน Second Home ของ GULF โดย 500 เมกะวัตต์ที่ได้เข้าไปลงทุนยังเป็นเพียงจุดเริ่มต้น” นายรัฐพล กล่าว
ขณะที่ สปป.ลาว บริษัทจะเข้าพัฒนาโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานน้ำจากเขื่อน และโครงการโรงไฟฟ้าถ่านหิน แล้วนำกลับมาขายในไทย ส่วนเมียนมามีประชากรเกือบ 60 ล้านคน มีกำลังการผลิตติดตั้ง 4,000 เมกะวัตต์เท่านั้น เทียบกับไทยที่มีกำลังการผลิตติดตั้งอยู่ที่ 42,000 เมกะวัตต์ เติบโตได้อีก 10 เท่า รวมทั้งโครงการโรงไฟฟ้าในโอมาน ขนาดกำลังการผลิต 300 เมกะวัตต์ คาดว่าจะลงนามภายในสิ้นเดือน ส.ค.นี้ หรือต้นเดือน ก.ย.นี้
อย่างไรก็ตามปัจจุบันการลงทุนส่วนใหญ่อยู่ไทยโดยบริษัทมีสัญญาซื้อขายไฟฟ้า (PPA) กับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) แล้ว กำลังผลิตรวมอยู่ที่ 11,000 เมกะวัตต์ เปิดดำเนินการแล้ว 6,000 เมกะวัตต์ ทำให้บริษัทมีการเติบโตชัดเจน โดยเฉพาะช่วงปี 2564-2567 จะมีโรงไฟฟ้าเอกชนรายใหญ่ (IPP) เปิด COD จำนวน 2 โครงการ กำลังผลิตรวม 5,000 เมกะวัตต์ ทำให้ตั้งแต่ปี 2564 เป็นต้นไป บริษัทจะมีการเติบโตค่อนข้างเร็วมาก