SPCG ฟันธงรายได้ปีนี้เฉียด 7 พันลบ.รับยอดขายไฟหนุน-กางแผนสร้าง 2 โซลาร์ฯญี่ปุ่นปลายปี 61
SPCG ฟันธงรายได้ปีนี้เฉียด7พันลบ.รับยอดขายไฟฟ้าหนุน-กางแผนสร้าง 2 โซลาร์ฯญี่ปุ่นปลายปี 61
นายพิพัฒน์ วิริยธรานนท์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท เอสพีซีจี จำกัด (มหาชน) หรือ SPCG เปิดเผยว่า บริษัทยังยืนยันเป้าหมายรายได้ปีนี้เติบโตไม่ต่ำกว่า 10% หรือมาที่ราว 6.7-6.8 พันล้านบาท แม้ว่าช่วงไตรมาส 3/61 ยอดขายไฟฟ้าจะปรับตัวลดลงในช่วงโลว์ซีซั่น และมีปริมาณฝนตกมากส่งผลให้ยอดผลิตไฟฟ้าลดลง แต่อย่างไรก็ตามบริษัทเชื่อว่าช่วงไตรมาส 4/61 ยอดผลิตไฟฟ้าค่อนจะฟื้นตัวค่อนข้างดี ซึ่งจะช่วยหนุนให้ยอดขายไฟฟ้าเติบโต
นอกจากนี้ บริษัทยังมีส่วนแบ่งกำไรเข้ามาเต็มไตรมาสจากโครงการ Tottori Yonago Mega Solar Power Plant กำลังการผลิต 30 เมกะวัตต์ ณ เมืองทอตโตะริ ประเทศญี่ปุ่น ที่เริ่มรับรู้รายได้มาตั้งแต่ปลายเดือน เม.ย.ที่ผ่านมา ประกอบกับ ในปีนี้บริษัทจะมีรายได้ราว 1.7-2 พันล้านบาท หรือเติบโตจากปีก่อนราว 30% จากงานโครงการโซลาร์รูฟท็อปเข้ามาช่วยสนับสนุนการเติบโตของบริษัทฯ
ส่วนความคืบหน้าการลงทุนโซลาร์ฟาร์มแห่งที่ 2 ในญี่ปุ่น คือ โครงการโซลาร์ฟาร์ม Ukujima Mega Solar Project ขนาดกำลังผลิต 480 เมกะวัตต์ ณ เกาะ Ukujima เมืองนางาซากิ ในประเทศญี่ปุ่น มีผู้ร่วมทุนทั้งสิ้น 8 บริษัท ได้แก่ Kyocera Corporation, Kyudenko Corporation, Mizuho Bank, SPCG, Tokyo Century Corporation, Furukawa Electric Company Limited, Tsuboi Corporation และ The Eighteenth Bank limited ใช้งบลงทุนรวม 6 หมื่นล้านบาท คาดว่าจะเริ่มก่อสร้างได้ช่วงปลายปี 61 หรือช่วงต้นปี 62 และโครงการโซลาร์ฟาร์ม ณ เมืองฟูกุโอกะ ประเทศญี่ปุ่น ขนาดกำลังการผลิต 65 เมกะวัตต์ ใช้เงินลงทุน 9.6 พันล้านบาท จะเริ่มก่อสร้างได้ในช่วงปลายปีนี้
นายพิพัฒน์ กล่าวเพิ่มเติมว่า การลงทุนในระยะต่อไปบริษัทจะเน้นโครงการโซลาร์ในประเทศไทยและญี่ปุ่น พร้อมกับศึกษาความเป็นไปได้การลงทุนโซลาร์ฟาร์มในประเทศเมียนมาและอินโดนีเซีย
“ปัจจุบันเรามีกำลังการผลิตรวมเป็น 260 เมกะวัตต์ ซึ่งในปีนี้เรามีส่วนแบ่งกำไรเข้ามาจากโครงการ Tottori Yonago Mega Solar Power Plant กำลังการผลิต 30 เมกะวัตต์ แต่ส่วนกำลังการผลิตเพิ่มเติมจะไม่มีแล้ว แต่ในปีนี้ส่วนเพิ่มจริงๆก็คงมาจากการขายโครงการโซลาร์รูฟท็อปเข้ามา โดยปัจจุบันอยู่ระหว่างการดำเนินการเรื่องของสิทธิประโยชน์ทางภาษีให้กับลูกค้าหากการขอสิทธิประโยชน์ทำได้เร็วก็จะช่วยให้ผลประกอบการของบริษัทฯเติบโตขึ้นอีก โดยในปีนี้คาดว่าสัดส่วนรายได้จะมาจากการขายไฟฟ้า 60-65% โครงการโซลาร์รูฟท็อป 25% และที่เหลือมาจากรายได้อื่นๆ” นายพิพัฒน์ กล่าว