KTIS หวังเงินชดเชยกองทุนอ้อย-น้ำตาล 850 ลบ.หนุนผลงาน Q3 พลิกมีกำไร
KTIS หวังเงินชดเชยกองทุนอ้อย-น้ำตาล 850 ลบ.หนุนผลงาน Q3/61 พลิกมีกำไร เตรียมเพิ่มสัดส่วนรายได้ธุรกิจไฟฟ้า-เอทานอลแตะ 50%
นายประพันธ์ ศิริวิริยะกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่ม บริษัท เกษตรไทย อินเตอร์เนชั่นแนล ชูการ์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ KTIS เปิดเผยว่า ในช่วงไตรมาส 3/61 ผลประกอบการมีโอกาสพลิกกลับมามีกำไรได้ หากบริษัทได้รับเงินชดเชยจากกองทุนอ้อยและน้ำตาล มูลค่า 750-850 ล้านบาท โดยบริษัทจะสามารถบันทึกกลับมาได้ทันที คาดว่าจะทันภายในสิ้นเดือน ก.ย.นี้ โดยกองทุนดังกล่าวจะให้ความช่วยเหลือเกษตรกรในช่วงที่ราคาน้ำตาลทรายในตลาดโลกตกต่ำ
ขณะที่ปริมาณอ้อยที่จะเข้าหีบในฤดูกาลผลิตปี 61 จะลดลงเหลือ 7 ล้านตัน จากปี 60 อยู่ที่ 11.60 ล้านตัน และ ผลิตน้ำตาลทรายได้ 11.8 ล้านกระสอบ โดยบริษัทจะทำการเปลี่ยนแปลงงบใหม่ ซึ่งจะทำให้เหมาะสมกับปิดหีบอ้อยฤดูการผลิตของบริษัท ซึ่งภาพรวมของอุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาลทั้งประเทศคาดว่าปริมาณผลผลิตอ้อยปีนี้จะสูงกว่า 100 ล้านตัน มากกว่าปีก่อนที่มีปริมาณผลผลิตอ้อยรวมประมาณ 93 ล้านตัน โดยกลุ่ม KTIS มีปริมาณอ้อยเป็นสัดส่วนประมาณ 10% ของทั้งประเทศ
สำหรับสัดส่วนรายได้ปัจจุบันแบ่งเป็นธุรกิจน้ำตาลอยู่ที่ 75% และ ธุรกิจไฟฟ้า-เอทานอลอยู่ที่ 25% โดยบริษัทฯมีแผนที่จะให้รายได้ธุรกิจไฟฟ้า-เอทานอลอยู่ที่ 50% และ ธุรกิจน้ำตาลอยู่ที่ 50% แต่ยังคงต้องใช้ระยะเวลาพอสมควรเพื่อที่จะปรับความเหมาะสมของรายได้ที่บริษัทต้องการ
ส่วนผลงานช่วงครึ่งปีแรกของปี 61 (ม.ค.-มิ.ย.61) สายธุรกิจที่ยังคงมีรายได้เติบโตอย่างต่อเนื่องคือสายธุรกิจผลิตและจำหน่ายพลังงานไฟฟ้าจากเชื้อเพลิงชีวมวล ซึ่งมีรายได้ 824.4 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 73.7% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากปริมาณการหีบอ้อยที่เพิ่มขึ้นทำให้มีเชื้อเพลิงหลักคือชานอ้อยป้อนเข้าสู่โรงไฟฟ้าเพิ่มขึ้น ประกอบกับประสิทธิภาพการผลิตไฟฟ้าของโรงงานสูงขึ้น ทำให้สามารถผลิตและขายไฟฟ้าได้จำนวนหน่วยสูงขึ้น โดยที่ราคาขายไฟฟ้าเฉลี่ยต่อหน่วยเพิ่มขึ้นด้วย
สำหรับรายได้จากสายธุรกิจผลิตและจำหน่ายเยื่อกระดาษชานอ้อยมีจำนวน 760.7 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 26.6% เนื่องจากทั้งปริมาณและราคาขายเยื่อกระดาษชานอ้อยที่เพิ่มขึ้น
อย่างไรก็ตาม ในสายธุรกิจผลิตและจำหน่ายเอทานอล ได้รับผลกระทบจากราคาขายเอทานอลโดยเฉลี่ยลดลง ทำให้มีรายได้ลดลง 5.7% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน ส่วนสายธุรกิจผลิตและจำหน่ายน้ำตาลทราย มีรายได้ลดลง 18.2% เนื่องจากราคาน้ำตาลทรายตลาดโลกลดลงจากปีก่อน ทำให้ราคาขายน้ำตาลของกลุ่ม KTIS ซึ่งอิงราคาตลาดโลกปรับลดลงด้วย
“ครึ่งปีแรกของปี 2561 กลุ่ม KTIS มีรายได้จากการขายและการให้บริการ 11,867.1 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปีก่อน 177.1 ล้านบาท แต่อย่างไรก็ตาม ผลกระทบจากราคาขายน้ำตาลทรายเฉลี่ยเมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีนี้กับปีก่อนที่ลดลงถึง 29.2% ทำให้เกิดผลขาดทุนสุทธิในครึ่งปีแรกของปีนี้จำนวน 136.4 ล้านบาท” นายประพันธ์กล่าว
ทั้งนี้ การที่บริษัทมีสายธุรกิจที่เป็นอุตสาหกรรมต่อเนื่องมาช่วยเสริมนอกเหนือจากสายธุรกิจน้ำตาลทราย ทำให้ช่วยลดผลกระทบจากราคาน้ำตาลทรายที่ผันผวนได้มากพอสมควร ซึ่งแนวทางการดำเนินธุรกิจของกลุ่ม KTIS ที่มีจุดเด่นในการจัดหาอ้อย ซึ่งนอกจากจะเป็นวัตถุดิบในการผลิตน้ำตาลทรายแล้ว ยังสามารถต่อยอดในอุตสาหกรรมต่อเนื่องต่างๆ ตามนโยบาย KTIS More Than Sugar ที่กลุ่ม KTIS มุ่งเน้นสร้างมูลค่าเพิ่มในสายอุตสาหกรรมต่อเนื่องมาตลอด เนื่องจากเป็นสายธุรกิจที่มีอนาคตและมีมาร์จิ้นสูงกว่าผลิตภัณฑ์น้ำตาลทราย