สรุปภาวะตลาดต่างประเทศ
สรุปภาวะตลาดต่างประเทศประจำวันที่ 7 ก.ย. 2561
ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดตลาดในแดนลบเมื่อวันศุกร์ (7 ก.ย.) เนื่องจากนักลงทุนเกิดความวิตกหลังประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ กล่าวเมื่อคืนนี้ว่า สหรัฐพร้อมที่จะเรียกเก็บภาษีเพิ่มเติมต่อสินค้านำเข้าจากจีนวงเงิน 2.67 แสนล้านดอลลาร์ นอกจากนี้ ดาวโจนส์ยังถูกกดดัน หลังจากที่มีการเปิดเผยตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรเพิ่มขึ้นเกินคาด รวมทั้งตัวเลขค่าจ้างรายชั่วโมงของแรงงานที่พุ่งสูงสุดในรอบกว่า 9 ปี ซึ่งส่งผลให้นักลงทุนกังวลว่าธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะเร่งการขึ้นอัตราดอกเบี้ย
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 25,916.54 จุด ลดลง 79.33 จุด หรือ -0.31% ขณะที่ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,871.68 จุด ลดลง 6.37 จุด หรือ -0.22% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 7,902.54 จุด ลดลง 20.18 จุด หรือ -0.25%
ตลาดหุ้นยุโรปปิดปรับตัวเพิ่มขึ้นเล็กน้อยเมื่อวันศุกร์ (7 ก.ย.) หลังจากที่ปรับตัวลดลงติดต่อกันถึง 3 วัน อย่างไรก็ดี เมื่อประเมินความเคลื่อนไหวทั้งสัปดาห์แล้ว ตลาดหุ้นยุโรปปรับตัวลดลงมากที่สุดในรอบไม่กี่เดือนที่ผ่านมานี้ เนื่องจากนักลงทุนยังคงวิตกกังวลเกี่ยวกับข้อพิพาททางการค้าระหว่างสหรัฐและประเทศคู่ค้า รวมทั้งวิกฤตเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นในประเทศกลุ่มตลาดเกิดใหม่
ดัชนี Stoxx Europe 600 ปิดบวก 0.08% แตะที่ระดับ 373.77 จุด
ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 5,252.22 จุด เพิ่มขึ้น 8.38 จุด หรือ +0.16% ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมันปิดที่ 11,959.63 จุด เพิ่มขึ้น 4.38 จุด หรือ +0.04% และดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 7,277.70 จุด ลดลง 41.26 จุด หรือ -0.56%
ตลาดหุ้นลอนดอนปิดตลาดในแดนลบเมื่อวันศุกร์ (7 ก.ย.) นำโดยหุ้นกลุ่มเหมืองแร่ เนื่องจากนักลงทุนยังคงวิตกกังวลเกี่ยวกับข้อพิพาททางการค้าระหว่างสหรัฐและประเทศคู่ค้า รวมทั้งวิกฤตเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นในประเทศกลุ่มตลาดเกิดใหม่
นอกจากนี้ ตลาดหุ้นลอนดอนยังปรับตัวลดลงตามทิศทางตลาดหุ้นนิวยอร์ก หลังประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ กล่าวเมื่อคืนนี้ว่า สหรัฐพร้อมที่จะเรียกเก็บภาษีเพิ่มเติมต่อสินค้านำเข้าจากจีนวงเงิน 2.67 แสนล้านดอลลาร์ ขณะที่ตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรเพิ่มขึ้นเกินคาด รวมทั้งตัวเลขค่าจ้างรายชั่วโมงของแรงงานที่พุ่งสูงสุดในรอบกว่า 9 ปี ซึ่งส่งผลให้นักลงทุนกังวลว่าธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะเร่งการขึ้นอัตราดอกเบี้ย
ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 7,277.70 จุด ลดลง 41.26 จุด หรือ -0.56%
สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดตลาดปรับตัวลดลงเล็กน้อยเมื่อวันศุกร์ (7 ก.ย.) จากการแข็งค่าของเงินดอลลาร์สหรัฐ และความวิตกเกี่ยวกับการทำสงครามการค้าระหว่างสหรัฐและประเทศคู่ค้า ซึ่งจะกระทบต่ออุปสงค์น้ำมัน อย่างไรก็ดี ราคาน้ำมันยังพอได้แรงหนุนจากคาดการณ์ภาวะน้ำมันตึงตัวในตลาด หลังจากที่สหรัฐใช้มาตรการคว่ำบาตรอิหร่าน โดยการส่งออกน้ำมันดิบและคอนเดนเสทของอิหร่านมีแนวโน้มลดลงต่ำกว่าระดับ 70 ล้านบาร์เรลในเดือนส.ค. ซึ่งเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เดือนเม.ย.ปีที่แล้ว ก่อนถึงวันที่ 4 พ.ย.ซึ่งเป็นวันที่สหรัฐเตรียมออกมาตรการคว่ำบาตรครั้งใหม่ต่ออิหร่าน
สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนต.ค. ลดลง 2 เซนต์ ปิดที่ 67.75 ดอลลาร์/บาร์เรล
สัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ส่งมอบเดือนพ.ย. เพิ่มขึ้น 33 เซนต์ หรือ 0.4% ปิดที่ 76.83 ดอลลาร์/บาร์เรล
สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดตลาดปรับตัวลดลงเล็กน้อยเมื่อวันศุกร์ (7 ก.ย.) จากการแข็งค่าของเงินดอลลาร์สหรัฐ และความวิตกเกี่ยวกับการทำสงครามการค้าระหว่างสหรัฐและประเทศคู่ค้า ซึ่งจะกระทบต่ออุปสงค์น้ำมัน
อย่างไรก็ดี ราคาน้ำมันยังพอได้แรงหนุนจากคาดการณ์ภาวะน้ำมันตึงตัวในตลาด หลังจากที่สหรัฐใช้มาตรการคว่ำบาตรอิหร่าน โดยการส่งออกน้ำมันดิบและคอนเดนเสทของอิหร่านมีแนวโน้มลดลงต่ำกว่าระดับ 70 ล้านบาร์เรลในเดือนส.ค. ซึ่งเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เดือนเม.ย.ปีที่แล้ว ก่อนถึงวันที่ 4 พ.ย.ซึ่งเป็นวันที่สหรัฐเตรียมออกมาตรการคว่ำบาตรครั้งใหม่ต่ออิหร่าน
สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนต.ค. ลดลง 2 เซนต์ ปิดที่ 67.75 ดอลลาร์/บาร์เรล
สัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ส่งมอบเดือนพ.ย. เพิ่มขึ้น 33 เซนต์ หรือ 0.4% ปิดที่ 76.83 ดอลลาร์/บาร์เรล
ดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลักๆ ในการซื้อขายที่ตลาดปริวรรตเงินตรานิวยอร์กเมื่อวันศุกร์ (7 ก.ย.) จากการที่สหรัฐเปิดเผยตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรเพิ่มขึ้นเกินคาด รวมทั้งตัวเลขค่าจ้างรายชั่วโมงของแรงงานที่พุ่งสูงสุดในรอบกว่า 9 ปี ซึ่งส่งผลให้นักลงทุนคาดการณ์ว่าธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะเร่งการขึ้นอัตราดอกเบี้ย
ยูโรอ่อนค่าลงแตะระดับ 1.1566 ดอลลาร์ จาก 1.1623 ดอลลาร์ ขณะที่เงินปอนด์อ่อนค่าลงแตะระดับ 1.2924 ดอลลาร์ จากระดับ 1.2932 ดอลลาร์ ส่วนดอลลาร์ออสเตรเลียอ่อนค่าลงแตะระดับ 0.7109 ดอลลาร์สหรัฐ จากระดับ 0.7201 ดอลลาร์สหรัฐ
ดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับเงินเยน ที่ระดับ 111.05 เยน จากระดับ 110.85 เยน ขณะเดียวกันก็แข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับฟรังก์สวิส ที่ระดับ 0.9687 ฟรังก์ จากระดับ 0.9660 ฟรังก์ และแข็งค่าเมื่อเทียบกับดอลลาร์แคนาดา ที่ระดับ 1.3172 ดอลลาร์แคนาดา จากระดับ 1.3141 ดอลลาร์แคนาดา