SGF พื้นฐานเปลี่ยนหลังลดพาร์ล้างขาดทุนสะสม 54.52 ลบ.เกลี้ยง ฟากหุ้นวิ่งรับ 11%
SGF พุ่ง 11% รับแวลู่เพิ่ม-พื้นฐานเปลี่ยนหลังรวมหุ้นลดพาร์ ดึงกำไรไตรมาส 2 ล้างขาดทุนสะสม 54.52 ลบ.เกลี้ยง!
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ราคาหุ้น บริษัท เอสจีเอฟ แคปปิตอล จำกัด (มหาชน) หรือ SGF ล่าสุด ณ เวลา 15.28 น. อยู่ที่ระดับ 1.75 บาท ปรับตัวขึ้น 0.18 บาท หรือ 11.46% สูงสุดที่ระดับ 1.76 บาท ต่ำสุดที่ระดับ 1.57 บาท ด้วยมูลค่าซื้อขาย 165.46 ล้านบาท
โดยราคาหุ้นปรับตัวขึ้นแรงในวันนี้ คาดว่าเกิดจากการที่นักลงทุนเข้าซื้อหุ้นจากประเด็นการล้างขาดทุนสะสม ซึ่งบริษัทจะทำการเปลี่ยนแปลงมูลค่าหุ้นที่ตราไว้ของบริษัทโดยการรวมมูลค่าหุ้นที่ตราไว้จากเดิมหุ้นละ 0.50 บาท เป็นหุ้นละ 5.00 บาท จากนั้นจะทำการลดทุนชำระแล้วของบริษัทฯ โดยการลดมูลค่าหุ้นที่ตราไว้ เพื่อชดเชยส่วนต่ำมูลค่าหุ้นสามัญและชดเชยผลขาดทุนสะสม
ทั้งนี้ เป็นการลดทุนจดทะเบียนและทุนชำระแล้วของบริษัทฯ จากเดิมจำนวน 6,550,000,020 บาท ให้เป็นทุนจดทะเบียนและทุนชำระแล้วจำนวน 1,637,500,005 บาท โดยการลดมูลค่าหุ้นที่ตราไว้ของบริษัทฯ จากเดิมมูลค่าหุ้นที่ตราไว้หุ้นละ 5บาท เป็นมูลค่าหุ้นละ 1.25 บาท เพื่อนำทุนจากการลดทุนจำนวน 4,912,500,015 บาท มาชดเชยส่วนต่ำมูลค่าหุ้นจำนวน4,647,066,423 บาท และขาดทุนสะสมจำนวน 319,961,405 บาท โดยภายหลังการลดทุนบริษัทฯจะคงเหลือผลขาดทุนสะสมจำนวน 54,527,813 บาท
ขณะที่ นายวิวัฒน์ วิฑูรย์เธียร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร เปิดเผยว่า บริษัทอยู่ระหว่างดำเนินการแก้ไขส่วนต่ำมูลค่าหุ้นและล้างขาดทุนสะสม หลังจากที่ประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้น ครั้งที่ 2/2561 ได้อนุมัติการรวมหุ้นและปรับทุน โดยเมื่อครบกระบวนการแล้วหากคำนวณจากงบไตรมาส 1/61 จะเหลือผลขาดทุนสะสม 54.52 ล้านบาท ซึ่งไตรมาส 2/61 บริษัทมีกำไร 99.76 ล้านบาท ทำให้บริษัทฯสามารถล้างขาดทุนสะสมที่คงเหลืออยู่ได้ทั้งหมดในทันที
สำหรับผลประกอบการไตรมาส 2/61 พลิกมาเป็นกำไร จากช่วงเดียวของปีก่อนที่ขาดทุน 92.13 ล้านบาท โดยผลกำไรมาจากทั้งการชำระหนี้ และการเติบโตอย่างมากจากรายได้ของสินเชื่อรายย่อย
ส่วนแนวโน้มผลประกอบการช่วงครึ่งหลังของปีนี้ บริษัทมั่นใจว่าจะเติบโตอย่างดี เนื่องจากธุรกิจสินเชื่อรายย่อยได้รับการตอบรับที่ดีและขณะนี้ฐานลูกค้าเริ่มส่งสัญญาณขยายตัวอย่างต่อเนื่อง โดยไตรมาส 2/61 มียอดปล่อยสินเชื่อรายย่อย 301.83 ล้านบาท สูงขึ้นกว่าไตรมาส 1/61 ที่ปล่อยได้ 122.32 ล้านบาทมาก
ขณะที่สามารถควบคุมหนี้เสียให้อยู่ในระดับต่ำ 3-4% ทำให้คาดว่าในสิ้นปีนี้ยอดปล่อยสินเชื่อใหม่มีโอกาสทะลุเป้า 1,000 ล้านบาทได้ไม่ยากนัก โดยจะเป็นการเติบโตด้วยคุณภาพลูกหนี้ที่ดีเช่นเดิม