สรุปภาวะตลาดหุ้นต่างประเทศ

สรุปภาวะตลาดหุ้นต่างประเทศประจำวันที่ 13 ก.ย. 2561


ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดบวกติดต่อกันเป็นวันที่ 3 เมื่อคืนนี้ (13 ก.ย.) เนื่องจากนักลงทุนคลายความวิตกเกี่ยวกับสงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีน หลังจากจีนได้ตอบรับคำเชิญของสหรัฐในการเจรจาการค้ารอบใหม่เพื่อคลี่คลายข้อพิพาทระหว่างทั้งสองประเทศ นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับปัจจัยหนุนจากหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีที่ดีดตัวขึ้น รวมทั้งตัวเลขเงินเฟ้อสหรัฐที่ต่ำกว่าคาด ซึ่งจะลดแนวโน้มในการเร่งปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด)

ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 26,145.99 จุด เพิ่มขึ้น 147.07 จุด หรือ +0.57% ขณะที่ดัชนี Nasdaq ปิดที่ 8,013.71 จุด เพิ่มขึ้น 59.48 จุด หรือ +0.75% และดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,904.18 จุด เพิ่มขึ้น 15.26 จุด หรือ +0.53%

 

ตลาดหุ้นยุโรปปิดลบเมื่อคืนนี้ (13 ก.ย.) เนื่องจากการแข็งค่าของเงินยูโรและเงินปอนด์ได้ฉุดหุ้นบริษัทข้ามชาติร่วงลง โดยสกุลเงินยูโรพุ่งขึ้นเมื่อเทียบกับดอลลาร์ หลังจากธนาคารกลางยุโรป (ECB) ประกาศว่าจะยุติการใช้มาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) ในช่วงสิ้นปีนี้

ดัชนี Stoxx Europe 600 ปิดลบ 0.2% แตะที่ระดับ 376.52 จุด

ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 5,328.12 จุด ลดลง 4.01 จุด หรือ -0.08% ขณะที่ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 7,281.57 จุด ลดลง 31.79 จุด หรือ -0.43% ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมันปิดที่ 12,055.55 จุด เพิ่มขึ้น 23.25 จุด หรือ +0.19%

 

ตลาดหุ้นลอนดอนปิดลบเมื่อคืนนี้ (13 ก.ย.) เนื่องจากการแข็งค่าของเงินปอนด์ได้ฉุดหุ้นบริษัทข้ามชาติร่วงลง นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับแรงกดดันจากการที่ธนาคารกลางอังกฤษ (BoE) ได้แสดงความกังวลเกี่ยวกับทิศทางตลาดการเงิน ท่ามกลางความไม่แน่นอนจากปัจจัยอังกฤษแยกตัวออกจากสหภาพยุโรป (Brexit)

ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 7,281.57 จุด ลดลง 31.79 จุด หรือ -0.43%

 

สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดร่วงลงเมื่อคืนนี้ (13 ก.ย.) หลังจากสำนักงานพลังงานสากล (IEA) ออกรายงานระบุว่า ปริมาณการผลิตน้ำมันของกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปก) พุ่งขึ้นแตะระดับสูงสุดในรอบ 9 เดือน ขณะที่ปริมาณน้ำมันดิบในตลาดโลกปรับตัวขึ้นเช่นกัน

สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนต.ค. ร่วงลง 1.78 ดอลลาร์ หรือ 2.5% ปิดที่ 68.59 ดอลลาร์/บาร์เรล

สัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ส่งมอบเดือนพ.ย. ลดลง 1.56 ดอลลาร์ หรือ 2% ปิดที่ 78.18 ดอลลาร์/บาร์เรล

 

สัญญาทองคำตลาดนิวยอร์กปิดลบเมื่อคืนนี้ (13 ก.ย.) หลังจากข้อพิพาทด้านการค้าระหว่างสหรัฐและจีนเริ่มคลี่คลายลง ซึ่งส่งผลให้นักลงทุนเทขายทองคำในฐานะสินทรัพย์ที่ปลอดภัย และหันไปลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงที่ให้ผลตอบแทนสูงกว่า อย่างไรก็ตาม สัญญาทองคำขยับลงเพียงเล็กน้อย เนื่องจากการอ่อนค่าของสกุลเงินดอลลาร์เป็นปัจจัยหนุนตลาดในระหว่างวัน

สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนธ.ค. ลดลง 2.7 ดอลลาร์ หรือ 0.22% ปิดที่ 1,208.2 ดอลลาร์/ออนซ์

สัญญาโลหะเงินส่งมอบเดือนธ.ค. ลดลง 4.9 เซนต์ หรือ 0.34% ปิดที่ 14.244 ดอลลาร์/ออนซ์

สัญญาพลาตินัมส่งมอบเดือนต.ค. เพิ่มขึ้น 3.4 ดอลลาร์ หรือ 0.43% ปิดที่ 803.3 ดอลลาร์/ออนซ์

สัญญาพัลลาเดียมส่งมอบเดือนธ.ค. เพิ่มขึ้น 3.70 ดอลลาร์ หรือ 0.4% ปิดที่ 968.70 ดอลลาร์/ออนซ์

 

ดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลักๆ ในการซื้อขายที่ตลาดปริวรรตเงินตรานิวยอร์กเมื่อคืนนี้ (13 ก.ย.) หลังจากสหรัฐเปิดเผยตัวเลขเงินเฟ้อที่ต่ำกว่าคาด ซึ่งจะลดแนวโน้มในการเร่งขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ส่วนสกุลเงินยูโรพุ่งขึ้นขานรับธนาคารกลางยุโรป (ECB) ที่ประกาศว่าจะยุติการใช้มาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) ในช่วงสิ้นปีนี้

ยูโรแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับดอลลาร์ ที่ระดับ 1.1692 ดอลลาร์ จากระดับ 1.1631 ดอลลาร์ ขณะที่เงินปอนด์แข็งค่าขึ้นแตะระดับ 1.3111 ดอลลาร์ จากระดับ 1.3055 ดอลลาร์ และดอลลาร์ออสเตรเลียแข็งค่าขึ้นแตะระดับ 0.7195 ดอลลาร์สหรัฐ จากระดับ 0.7177 ดอลลาร์สหรัฐ

ดอลลาร์อ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับฟรังก์สวิส ที่ระดับ 0.9659 ฟรังก์ จากระดับ 0.9700 ฟรังก์ อย่างไรก็ตาม ดอลลาร์แข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับเงินเยน ที่ระดับ 111.88 เยน จากระดับ 111.23 เยน และแข็งค่าเล็กน้อยเมื่อเทียบกับดอลลาร์แคนาดา ที่ระดับ 1.2990 ดอลลาร์แคนาดา จากระดับ1.2987 ดอลลาร์แคนาดา

Back to top button