สรุปภาวะตลาดต่างประเทศ

สรุปภาวะตลาดต่างประเทศ ประจำวันที่ 14 ก.ย. 2561


ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดบวกติดต่อกันเป็นวันที่ 4 เมื่อวันศุกร์ (14 ก.ย.) แต่ขยับขึ้นไม่มากนัก เช่นเดียวกับดัชนี S&P ที่บวกขึ้นเพียงเล็กน้อย ด้าน Nasdaq ปิดขยับลงเล็กน้อย หลังจากสหรัฐเปิดเผยข้อมูลเศรษฐกิจหลายรายการซึ่งมีทั้งที่ออกมาดีกว่าและแย่กว่าคาดการณ์ ขณะเดียวกันนักลงทุนยังคงจับตาสถานการณ์ความขัดแย้งทางการค้าระหว่างสหรัฐและจีน หลังมีข่าวว่า ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ยังคงมีความตั้งใจที่จะเดินหน้าเรียกเก็บภาษีต่อสินค้านำเข้าจากจีนวงเงิน 2 แสนล้านดอลลาร์ ถีงแม้นายสตีเวน มนูชิน รมว.คลังสหรัฐ ได้ส่งจดหมายไปยังเจ้าหน้าที่ของจีน เพื่อเชิญให้เข้าร่วมการเจรจาการค้าครั้งใหม่ และจีนได้ตอบรับคำเชิญแล้วก็ตาม

ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 26,154.67 จุด เพิ่มขึ้น 8.68 จุด หรือ +0.03% ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,904.98 จุด เพิ่มขึ้น 0.80 จุด หรือ +0.03% ขณะที่ดัชนี Nasdaq ปิดที่ 8,010.04 จุด ลดลง 3.67 จุด หรือ -0.05%

สำหรับทั้งสัปดาห์ ดัชนีดาวโจนส์ปรับตัวขึ้น 0.9% ปรับตัวขึ้นเป็นสัปดาห์ที่สี่ในรอบห้าสัปดาห์ ดัชนี S&P 500 เพิ่มขึ้น 1.2% บวกเป็นสัปดาห์ที่ห้าติดต่อกัน และ Nasdaq เพิ่มขึ้น 1.4% บวกเป็นสัปดาห์ที่สามในรอบสี่สัปดาห์

 

ตลาดหุ้นยุโรปปิดปรับตัวขึ้นในวันศุกร์ที่ผ่านมา (14 ก.ย.) ตามทิศทางตลาดหุ้นส่วนใหญ่ในเอเชีย ท่ามกลางปัจจัยในตลาดที่ค่อนข้างเป็นบวก ภายหลังจากที่จีนตอบรับคำเชิญเข้าร่วมการเจรจาการค้ากับสหรัฐ แม้หุ้นกลุ่มการเงินได้รับแรงกดดันจากหุ้น Danske Bank ที่ร่วงลง หลังมีข่าวว่าธนาคารถูกทางการสหรัฐสอบสวนเรื่องฟอกเงิน

ดัชนี Stoxx Europe 600 ปิดบวก 1.33 จุด หรือ 0.35% แตะที่ระดับ 377.85 จุดในวันศุกร์ และเพิ่มขึ้น 1% ในรอบสัปดาห์

ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 5,352.57 จุด เพิ่มขึ้น 24.45 จุด หรือ +0.46% ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมันปิดที่ 12,124.33 จุด เพิ่มขึ้น 68.78 จุด หรือ +0.57% ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 7,304.04 จุด เพิ่มขึ้น 22.47 จุด หรือ +0.31%

 

ตลาดหุ้นลอนดอนปิดดีดตัวขึ้นเมื่อวันศุกร์ (14 ก.ย.) เนื่องจากนักลงทุนกลับเข้าซื้อหุ้นก่อนหยุดสุดสัปดาห์ ขณะที่แรงกดดันหรือปัจจัยลบในตลาดคลี่คลายลง โดยถึงแม้ความขัดแย้งทางการค้าระหว่างสหรัฐและจีนยังคงดำเนินอยู่ แต่ก็เริ่มมีสัญญาณในทางที่ดีเกี่ยวกับการหันหน้าเจรจาระหว่างสองฝ่าย

ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดวันศุกร์ที่ 7,304.04 จุด เพิ่มขึ้น 22.47 จุด หรือ 0.31% ขณะที่ทั้งสัปดาห์ ดัชนีปรับตัวขึ้น 0.37%

 

สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดดีดตัวขึ้นเมื่อวันศุกร์ (14 ก.ย.) จากการคาดการณ์ที่ว่ามาตรการคว่ำบาตรของสหรัฐต่ออิหร่านจะส่งผลให้ภาวะอุปทานน้ำมันตึงตัว หลังจากที่สหรัฐได้กดดันให้ประเทศต่างๆ ปฏิบัติตามมาตรการคว่ำบาตรของสหรัฐต่อการนำเข้าน้ำมันจากอิหร่าน นอกจากนี้ ตลาดยังคงจับตาผลกระทบของพายุเฮอร์ริเคนฟลอเรนซ์ที่อาจมีต่อตลาดพลังงาน รวมไปถึงความเคลื่อนไหวล่าสุดเกี่ยวกับข้อพิพาทการค้าระหว่างสหรัฐและจีน ซึ่งอาจจะส่งผลต่อเศรษฐกิจโลกและลามไปถึงความต้องการใช้น้ำมัน

สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนต.ค. ปรับตัวขึ้น 40 เซนต์ หรือ 0.6% ปิดที่ 68.99 ดอลลาร์/บาร์เรลในวันศุกร์ และเพิ่มขึ้น 1.8% ในรอบสัปดาห์

สัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ส่งมอบเดือนพ.ย. ลดลง 9 เซนต์ หรือ 0.1% ปิดที่ 78.09 ดอลลาร์/บาร์เรล ขณะที่ทั้งสัปดาห์เพิ่มขึ้น 1.6%

 

สัญญาทองคำตลาดนิวยอร์กปิดปรับตัวลดลงเมื่อวันศุกร์ (7 ก.ย.) โดยได้รับปัจจัยกดดันจากการแข็งค่าของเงินดอลลาร์สหรัฐ หลังสหรัฐเผยข้อมูลเศรษฐกิจบางรายการที่ออกมาดีเกินคาด ขณะที่ตลาดจับตาสถานการณ์การค้าสหรัฐและจีนต่อเนื่อง หลังมีรายงานว่าประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ยังคงมีความตั้งใจที่จะเดินหน้าเรียกเก็บภาษีต่อสินค้านำเข้าจากจีนวงเงิน 2 แสนล้านดอลลาร์ ถีงแม้นายสตีเวน มนูชิน รมว.คลังสหรัฐ ได้ส่งจดหมายไปยังเจ้าหน้าที่ของจีน เพื่อเชิญให้เข้าร่วมการเจรจาการค้าครั้งใหม่ และจีนได้ตอบรับคำเชิญแล้วก็ตาม

สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนธ.ค. ลดลง 7.1 ดอลลาร์ หรือ 0.59% ปิดที่ 1,201.1 ดอลลาร์/ออนซ์ ขณะที่ทั้งสัปดาห์ สัญญาทองคำปรับตัวขึ้นไม่ถึง 1%

สัญญาโลหะเงินส่งมอบเดือนธ.ค. ลดลง 10.2 เซนต์ หรือ 0.72% ปิดที่ 14.142 ดอลลาร์/ออนซ์

สัญญาพลาตินัมส่งมอบเดือนต.ค. ลดลง 4.7 ดอลลาร์ หรือ 0.59% ปิดที่ 798.6 ดอลลาร์/ออนซ์

สัญญาพัลลาเดียมส่งมอบเดือนธ.ค. ลดลง 1.8 ดอลลาร์ หรือ 0.04% ปิดที่ 970.50 ดอลลาร์/ออนซ์

 

ดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลักๆ ในการซื้อขายที่ตลาดปริวรรตเงินตรานิวยอร์กเมื่อวันศุกร์ (14 ก.ย.) หลังจากสหรัฐเปิดเผยข้อมูลเศรษฐกิจหลายรายการ และบางรายการออกมาแข็งแกร่ง ซึ่งรวมถึงความเชื่อมั่นผู้บริโภค

ยูโรอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับดอลลาร์ ที่ระดับ 1.1632 ดอลลาร์ จากระดับ 1.1692 ดอลลาร์ ขณะที่เงินปอนด์อ่อนค่าลงแตะระดับ 1.3066 ดอลลาร์ จากระดับ 1.3111 ดอลลาร์ และดอลลาร์ออสเตรเลียอ่อนค่าลงแตะระดับ 0.7165 ดอลลาร์สหรัฐ จากระดับ 0.7195 ดอลลาร์สหรัฐ

ดอลลาร์แข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับเงินเยน ที่ระดับ 112.01 เยน จากระดับ 111.88 เยน แข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับฟรังก์สวิส ที่ระดับ 0.9668 ฟรังก์ จากระดับ 0.9659 ฟรังก์ และแข็งค่าแตะระดับ 1.3031 ดอลลาร์แคนาดา จากระดับ 1.2990 ดอลลาร์แคนาดา

Back to top button