สรุปภาวะตลาดต่างประเทศ
สรุปภาวะตลาดต่างประเทศประจำวันที่ 18 ก.ย. 2561
ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดพุ่งขึ้นเมื่อคืนนี้ (18 ก.ย.) เนื่องจากนักลงทุนคลายความกังวลเกี่ยวกับผลกระทบของสงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีน หลังจากสหรัฐและจีนเรียกเก็บภาษีนำเข้าในระดับต่ำกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้ นอกจากนี้ ตลาดยังได้แรงหนุนจากหุ้นเทคโนโลยีที่พุ่งขึ้นอย่างแข็งแกร่ง หลังจากรัฐบาลสหรัฐยืนยันว่า ผลิตภัณฑ์สมาร์ทวอทช์จากบริษัทแอปเปิล และบริษัทฟิตบิท ไม่ได้รวมอยู่ในรายการสินค้าที่ถูกเรียกเก็บภาษีครั้งล่าสุดนี้
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 26,246.96 จุด พุ่งขึ้น 184.84 จุด หรือ +0.71% ขณะที่ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,904.31 จุด เพิ่มขึ้น 15.51 จุด หรือ +0.54% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 7,956.11 จุด เพิ่มขึ้น 60.32 จุด หรือ +0.76%
ตลาดหุ้นยุโรปปิดขยับขึ้นเมื่อคืนนี้ (18 ก.ย.) หลังจากสหรัฐและจีนเรียกเก็บภาษีนำเข้าในระดับต่ำกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้ ซึ่งช่วยให้นักลงทุนคลายความกังวลเกี่ยวกับผลกระทบของสงครามการค้า นอกจากนี้ ตลาดยังได้แรงหนุนจากการพุ่งขึ้นของหุ้นกลุ่มรถยนต์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหุ้นโฟล์คสวาเกนที่ดีดตัวขึ้นกว่า 2% หลังจากบริษัทประกาศแผนการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าจำนวน 10 ล้านคัน
ดัชนี Stoxx Europe 600 ปิดขยับขึ้น 0.1% แตะที่ระดับ 378.73 จุด
ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมันปิดที่ 12,157.67 จุด เพิ่มขึ้น 61.26 จุด หรือ +0.51% ขณะที่ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 5,363.79 จุด เพิ่มขึ้น 14.92 จุด หรือ +0.28% และดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 7,300.23 จุด ลดลง 1.87 จุด หรือ -0.03%
ตลาดหุ้นลอนดอนปิดขยับลงเมื่อคืนนี้ (18 ก.ย.) ท่ามกลางภาวะการซื้อขายที่ซบเซา ขณะที่นักลงทุนจับตาผลกระทบของสงครามการค้า หลังจากสหรัฐและจีนต่างก็ประกาศเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้า ซึ่งจะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 24 ก.ย.นี้
ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 7,300.23 จุด ลดลง 1.87 จุด หรือ -0.03%
สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดปรับตัวขึ้นเมื่อคืนนี้ (18 ก.ย.) หลังจากกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปก) ส่งสัญญาณว่ายังไม่พร้อมที่จะปรับเพิ่มกำลังการผลิต ขณะที่นักลงทุนจับตารายงานสต็อกน้ำมันดิบประจำสัปดาห์ของสหรัฐซึ่งมีกำหนดเปิดเผยในวันนี้ ด้านนักวิเคราะห์คาดการณ์ว่า สต็อกน้ำมันดิบจะลดลงติดต่อกันเป็นสัปดาห์ที่ 5
สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนต.ค. เพิ่มขึ้น 94 เซนต์ หรือ 1.4% ปิดที่ 69.85 ดอลลาร์/บาร์เรล
สัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ส่งมอบเดือนพ.ย. เพิ่มขึ้น 98 เซนต์ หรือ 1.3% ปิดที่ 79.03 ดอลลาร์/บาร์เรล
สัญญาทองคำตลาดนิวยอร์กปิดลบเมื่อคืนนี้ (18 ก.ย.) เนื่องจากการแข็งค่าของสกุลเงินดอลลาร์ส่งผลให้ทองคำมีความน่าดึงดูดน้อยลง นอกจากนี้ การดีดตัวขึ้นอย่างแข็งแกร่งของดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กยังเป็นปัจจัยสนับสนุนให้นักลงทุนเทขายทองคำซึ่งเป็นสินทรัพย์ที่ปลอดภัย และหันไปลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงที่ให้ผลตอบแทนสูงกว่า
สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนธ.ค. ลดลง 2.9 ดอลลาร์ หรือ 0.24% ปิดที่ 1,202.9 ดอลลาร์/ออนซ์
สัญญาโลหะเงินส่งมอบเดือนธ.ค. ลดลง 3.8 เซนต์ หรือ 0.27% ปิดที่ 14.185 ดอลลาร์/ออนซ์
สัญญาพลาตินัมส่งมอบเดือนต.ค. เพิ่มขึ้น 14 ดอลลาร์ หรือ 1.75% ปิดที่ 814.9 ดอลลาร์/ออนซ์
สัญญาพัลลาเดียมส่งมอบเดือนธ.ค. พุ่งขึ้น 27.80 ดอลลาร์ หรือ 2.9% ปิดที่ 1004.80 ดอลลาร์/ออนซ์
ดอลลาร์แข็งค่าเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลักๆ ในการซื้อขายที่ตลาดปริวรรตเงินตรานิวยอร์กเมื่อคืนนี้ (18 ก.ย.) โดยได้แรงหนุนจากการที่นักลงทุนคลายกังวลเกี่ยวกับผลกระทบของสงครามการค้า หลังจากสหรัฐและจีนเรียกเก็บภาษีนำเข้าในระดับต่ำกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้ ขณะที่นักลงทุนจับตาการประชุมของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ในสัปดาห์หน้า ท่ามกลางกระแสคาดการณ์ที่ว่า เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุมครั้งนี้
ดอลลาร์แข็งค่าเมื่อเทียบกับเงินเยน ที่ระดับ 112.36 เยน จากระดับ 111.87 เยน และแข็งค่าเมื่อเทียบกับฟรังก์สวิส ที่ระดับ 0.9649 ฟรังก์ จากระดับ 0.9623 ฟรังก์ แต่อ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับดอลลาร์แคนาดา ที่ระดับ 1.2983 ดอลลาร์แคนาดา จากระดับ 1.3026 ดอลลาร์แคนาดา
ยูโรอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับดอลลาร์ ที่ระดับ 1.1666 ดอลลาร์ จากระดับ 1.1685 ดอลลาร์ ขณะที่เงินปอนด์อ่อนค่าลงสู่ระดับ 1.3138 ดอลลาร์ จากระดับ 1.3161 ดอลลาร์ และดอลลาร์ออสเตรเลียแข็งค่าขึ้นสู่ระดับ 0.7215 ดอลลาร์สหรัฐ จากระดับ 0.7181 ดอลลาร์สหรัฐ