TLUXE คาดปี 62 ยอดขายอาหารสัตว์โตเด่น มั่นใจหนุนผลงานทิร์นอะราวด์!
TLUXE คาดปี 62 ยอดขายอาหารสัตว์โตเด่น มั่นใจหนุนผลงานทิร์นอะราวด์! ตั้งเป้ารายได้เพิ่มขึ้น 5-10% ต่อปีถึงปี 63
นายณสุ จันทร์สม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (ร่วม) และผู้อำนวยการฝ่ายบัญชีและการเงิน บริษัท ไทยลักซ์ เอ็นเตอร์ไพรส์ จำกัด (มหาชน) หรือ TLUXE เปิดเผยว่า แนวโน้มผลการดำเนินงานในปี 62 บริษัทคาดว่าจะพลิกฟื้นกลับมาอย่างชัดเจน จากการเติบโตของธุรกิจผลิตและจัดจำหน่ายอาหารกุ้งและปลา และอาหารสัตว์เลี้ยงที่มีทิศทางการเติบโตที่ดีต่อเนื่อง โดยเฉพาะธุรกิจอาหารกุ้งที่กลับมาฟื้นตัวตั้งแต่ปีนี้ และมียอดขายที่เติบโตสูงขึ้นมาก โดยที่คาดว่ายอดขายของธุรกิจอาหารกุ้งและปลา และอาหารสัตว์เลี้ยงจะสูงกว่าปีนี้ที่ 2 พันล้านบาท
ขณะเดียวธุรกิจไฟฟ้าจะมีรายได้เข้ามาเพิ่มจากการลงทุนโครงการพลังงานไฟฟ้าจากความร้อนใต้พิภพ (Geothermal) และโครงการไฟฟ้าพลังงานลมเข้ามาเพิ่มเติม ซึ่งบริษัทวางงบลงทุนในเบื้องต้นสำหรับการลงทุนในปี 62 อยู่ที่ 700 ล้านบาท เพื่อรองรับการลงทุนโครงการโรงไฟฟ้า Geothermal ใหม่อีก 3-9 ยูนิต กำลังการผลิต 1 เมกะวัตต์/ยูนิต และลงทุนโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลม ด้วยการวางเสาพลังงานลมเพิ่มอีก 20 ต้น กำลังการผลิต 1 กิโลวัตต์/ต้น
สำหรับปัจจุบัน บริษัทฯ มีโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลมทั้งหมด 7 ต้น 1 กิโลวัตต์/ต้น โดยที่บริษัทจะมีการขายโรงไฟฟ้า Geothermal ที่ปัจจุบันมีอยู่ 15 โรง กำลังการผลิต 15 เมกะวัตต์ ที่ได้ตกลงการขายกับผู้ซื้อไปแล้ว ซึ่งคาดว่าจะมีกำไรพิเศษเข้ามาราว 1.4 พันล้านบาท ในช่วงไตรมาส 4/61 หรือไตรมาส 1/62 ซึ่งจะเป็นปัจจัยหนุนต่อผลการดำเนินงานได้
ส่วนการลงทุนอื่นๆในต่างประเทศนั้น บริษัทฯ ได้ลงทุนในโครงการคอนโดมิเนียมในเมืองดานัง ประเทศเวียดนาม จำนวน 180 ยูนิต โดยเป็นการร่วมทุนกับพันธมิตร 50:50 โดยมีราคาขายเฉลี่ย 3,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ/ตร.ม. ซึ่งจะเริ่มเปิดขายในช่วงปลายปีนี้ และจะโอนและรับรู้เข้ามาเป็นส่วนแบ่งกำไรเข้ามาในปี 62
รวมทั้งบริษัทฯ ยังคงมองหาโอกาสในการลงทุนในต่างประเทศที่ไม่จำกัดเฉพาะธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ และเน้นในกลุ่มประเทศรอบๆประเทศไทย ซึ่งการลงทุนจะต้องให้ผลตอบแทนจากการลงทุนไม่ต่ำกว่า (IRR) 15% โดยที่การลงทุนใหม่ๆจะมีความชัดเจนมากขึ้นในช่วงครึ่งปีหลังของปี 62
ทั้งนี้ บริษัทฯ ตั้งเป้ารายได้ในช่วงปี 62-63 เติบโตปีละ 5-10% โดยรายได้หลักจะมาจากรายได้ของธุรกิจผลิตและจัดจำหน่ายอาหารกุ้งและปลา ที่ยังมีสัดส่วนมากที่สุด 90% เพราะเป็นธุรกิจที่มียอดขายมาก แต่มีมาร์จิ้นน้อย
ขณะที่ธุรกิจไฟฟ้าจะเป็นธุรกิจที่บริษัทยังคงให้ความสำคัญและมองหาโอกาสในการลงทุนโครงการใหม่ๆต่อเนื่อง เพราะเป็นที่ไม่มีความผันผวนและมีรายได้มั่นคงเข้ามาต่อเนื่อง ซึ่งสามารถเข้ามาช่วยลดความผันผวนที่เกิดจากธุรกิจผลิตและจัดจำหน่ายอาหารกุ้งและปลา
โดยบริษัทฯ ตั้งเป้าเพิ่มสัดส่วนรายได้จากธุรกิจไฟฟ้าเป็น 2 หลัก พร้อมกับตั้งเป้าเพิ่มกำลังการผลิตเป็น 40 เมกะวัตต์ ภายในปี 63 พร้อมมองแนวทางในการเปลี่ยนหมวดธุรกิจเป็นหมวดพลังงาน
อย่างไรก็ตาม ปัจจัยที่บริษัทยังต้องให้ความสำคัญนั้นเป็นการบริหารจัดการด้านการเงิน เพราะการลงทุนต่างๆบริษัทจะต้องใช้เงินลงทุนค่อนข้างมาก เพื่อเข้ามาเสริมการเติบโตของธุรกิจ ซึ่งแหล่งเงินทุนเป็นสิ่งที่สำคัญในการที่บริษัทจะต้องมองหา เพื่อรองรับการลงทุน
โดยที่การลงทุนในต่างประเทศอาจจะต้องใช้เงินกู้ยืมจากสถาบันการเงินในต่างประเทศเข้ามาเสริม จากปัจจุบันที่การลงทุนในญี่ปุ่นได้รับการสนับสนุนเงินกู้ยืมจากธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM Bank) โดยที่บริษัทจะต้องมีการบริหารจัดการลดหนี้ให้น้อยลง เพราะปัจจุบันอัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (D/E) อยู่ในระดับที่ 2.4 เท่า ใกล้กับระดับที่กำหนดเพดานการให้วงเงินกู้ยืมที่ 3 เท่า ส่งผลให้การขายโรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนใต้พิภพในญี่ปุ่น 15 โรง จะช่วยมีเงินเข้ามาชำระหนี้คืนกับสถาบันการเงินได้