SELIC พุ่งแรง 8% ลุ้นผลงานครึ่งปีหลังโตแกร่งรับไฮซีซั่น-ลุยขยายตลาดเต็มสูบ

SELIC พุ่งแรง 8% ลุ้นผลงานครึ่งปีหลังโตแกร่งรับไฮซีซั่น-ลุยขยายตลาดเต็มสูบ ล่าสุด ณ เวลา 10.57 น. อยู่ที่ระดับ 2.86 บาท เพิ่มขึ้น 0.22 บาท หรือ 8.33% สูงสุดที่ระดับ 3.02 บาท ต่ำสุดที่ระดับ 2.68 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 27.50 ล้านบาท


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ราคาหุ้นบริษัท ซีลิค คอร์พ จำกัด (มหาชน) หรือ SELIC ล่าสุด ณ เวลา 10.57 น. อยู่ที่ระดับ 2.86 บาท เพิ่มขึ้น 0.22 บาท หรือ 8.33% สูงสุดที่ระดับ 3.02 บาท ต่ำสุดที่ระดับ 2.68 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 27.50 ล้านบาท

โดยราคาหุ้น SELIC ปรับตัวขึ้นแรงวันนี้เป็นวันที่ 2 หลังจากวานนี้ปรับตัวขึ้น 4.76% ด้าน นายเอก สุวัฒนพิมพ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.ซีลิค คอร์พ (SELIC) เปิดเผยว่า บริษัทคาดผลการดำเนินงานในครึ่งหลังปีนี้จะเติบโตดีกว่าครึ่งปีแรก เนื่องจากเป็นช่วงของไฮซีซั่นของธุรกิจที่จะมีการใช้กาวอุตสาหกรรมค่อนข้างมาก เห็นได้จากภาคเอกชนเริ่มมีการลงทุนมากขึ้น ทั้งภายในประเทศและการขยายธุรกิจไปยังต่างประเทศ ซึ่งเป็นไปตามความต้องการใช้ที่เพิ่มขึ้น ทำให้บริษัทยังมั่นใจว่าปีนี้รายได้ทั้งปีนี้น่าจะเติบโต 10% จาก 595 ล้านบาทในปีก่อน จากการขยายตลาดอุตสาหกรรมใหม่ ๆ และรักษาฐานลูกค้าเดิม โดยปัจจุบันบริษัทมีสัดส่วนรายได้จากในประเทศคิดเป็น 55-60% และในต่างประเทศคิดเป็น 40-45%

อย่างไรก็ตามในส่วนของกำไรสุทธิปีนี้ บริษัทจะพยายามรักษาให้ใกล้เคียงกับระดับ 18.85 ล้านบาทในปีก่อน แม้ว่าครึ่งแรกปีนี้จะทำได้เพียง 4.76 ล้านบาทเท่านั้น เนื่องจากบริษัทมีแผนปรับขึ้นราคาสินค้า และควบคุมต้นทุนด้านค่าใช้จ่ายให้มีความเหมาะสมมากขึ้น รวมถึงเฝ้าระวังสถานการณ์ราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยบริษัทได้เตรียมความพร้อมโดยการล็อคต้นทุนวัตถุดิบในระยะยาว ขณะเดียวกันในครึ่งปีหลังบริษัทก็เตรียมออกผลิตภัณฑ์กาวใหม่ จากทั้งปีคาดว่าจะออกผลิตภัณฑ์ใหม่ไม่น้อยกว่า 10 รายการ

ด้านกำลังการผลิตของบริษัท ยังมีเพียงพอรองรับกับความต้องการของตลาดและความต้องการสินค้าใหม่ ๆ ที่อาจจะเกิดขึ้นต่อจากนี้ ซึ่งปัจจุบันบริษัทมีกำลังการผลิตอยู่ที่ 9,000 ตันต่อปี และมีอัตราการใช้กำลังการผลิตอยู่ที่ 70%

ขณะที่บริษัทยังคาดหวังจะมีการเลือกตั้งในปี 62 หลังจากจะปลดล็อคการดำเนินกิจกรรมทางการเมืองในช่วงปลายปีนี้ ซึ่งน่าจะส่งผลดีต่อความเชื่อมั่นของผู้ประกอบการทุกอุตสาหกรรมให้มีการลงทุนมากขึ้น และส่งผลดีต่อความเชื่อมั่นการจับจ่ายใช้สอยของภาคประชาชนหนุนให้มีความต้องการใช้กาวในอุตสาหกรรมเพิ่มสูงขึ้น

สำหรับการลงทุนเข้าซื้อกิจการ (M&A) และการร่วมลงทุน (JV) นั้น ปัจจุบันบริษัทก็อยู่ระหว่างศึกษาและมองหาโอกาสลงทุนในธุรกิจที่มีความเกี่ยวเนื่องกัน หรือใกล้เคียงกัน แต่คาดว่ายังต้องใช้เวลาในการศึกษาอีกสักระยะหนึ่ง

 

Back to top button