SAMCO วิ่งแรงกว่า 8% ลุ้นผลงานครึ่งหลังสดใสรับไฮซีซั่น ดันรายได้ปีนี้โต 10% ตามเป้า

SAMCO วิ่งแรงกว่า 8% ลุ้นผลงานครึ่งหลังสดใสรับไฮซีซั่น ดันรายได้ปีนี้โต 10% ตามเป้า โดยปิดตลาดภาคเช้า ราคาอยู่ที่ 2.32 บาท บวก 0.18 บาท หรือ 8.41% สูงสุดที่ 2.60 บาท ต่ำสุดที่ 2.14 บาท มูลค่าซื้อขายที่ 7.86 ล้านบาท


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หุ้นบริษัท สัมมากร จำกัด (มหาชน) หรือ SAMCO ปิดตลาดภาคเช้า ราคาอยู่ที่ 2.32 บาท บวก 0.18 บาท หรือ 8.41% สูงสุดที่ 2.60 บาท ต่ำสุดที่ 2.14 บาท มูลค่าซื้อขายที่ 7.86 ล้านบาท

โดยราคาหุ้นปรับตัวเพิ่มขึ้นทำจุดสูงสุดเป็นเวลาเกือบ 4 เดือน นับตั้งแต่ราคาหุ้นอยู่ที่ระดับ 2.34 บาท เมื่อวันที่ 8 มิ.ย.61

นายกิตติพล ปราโมช ณ อยุธยา กรรมการผู้จัดการ SAMCO เปิดเผยว่า แนวโน้มผลประกอบการในช่วงครึ่งปีหลังจะดีกว่าช่วงครึ่งปีแรกที่ผ่านมา ทั้งในแง่ยอดขาย (Presale) และยอดโอนกรรมสิทธิ์ เนื่องจากเป็นช่วงไฮซีซั่นของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ โดยยอดโอนกรรมสิทธิ์ในช่วงไตรมาส 3/61 จะดีขึ้นจากไตรมาส 2/61 ที่ผ่านมา และในช่วงไตรมาส 4/61 จะเป็นไตรมาสที่มียอดโอนกรรมสิทธิ์เติบโตสูงสุดของปี

ขณะที่บริษัทมั่นใจยอดขายในปีนี้จะเติบโตที่ระดับ 1,500 ล้านบาท จากปีก่อนที่มียอดขาย 1,200 ล้านบาท เนื่องจากบริษัทมีการเปิดขายโครงการใหม่ ๆ และการขายโครงการในมืออย่างต่อเนื่อง โดยบริษัทยังคงเป้าหมายรายได้รวมจะเติบโตประมาณ 10% จากปีก่อนที่มีรายได้รวม 1,211.98 ล้านบาท ซึ่งปัจจุบันบริษัทมียอดขายรอโอน (Backlog) ในมือรวมมูลค่าประมาณ 300 ล้านบาท ซึ่งจะใช้เวลาทยอยรับรู้ประมาณ 3 เดือน และปัจจุบันบริษัทยังมีสินค้าพร้อมโอน (สต๊อก) ในมือมูลค่ารวมประมาณ 800 ล้านบาท จาก 8 โครงการที่อยู่ระหว่างการขาย

นอกจากนี้ ในช่วงเดือนตุลาคมนี้ บริษัทมีแผนเปิดตัวโครงการบ้านเดี่ยว จำนวน 1 โครงการ จำนวน 180 ยูนิต มูลค่าโครงการประมาณ 1,300-1,400 ล้านบาท ระดับราคาขายที่ 4-5 ล้านบาทต่อยูนิต ซึ่งบริษัทคาดว่าจะได้รับการตอบรับที่ดีจากลูกค้า เนื่องจากความต้องการในตลาดอสังหาริมทรัพย์ยังมีอย่างต่อเนื่อง

ทั้งนี้ ในช่วงที่ผ่านมาบริษัทได้เปิดขายโครงการใหม่ จำนวน 2 โครงการ มูลค่าโครงการรวม 1,580 ล้านบาท ซึ่งทุกโครงการถือว่าได้รับการตอบรับที่ดี ได้แก่ 1.โครงการ สัมมากร อเวนิว สุวรรณภูมิ เป็นทาวน์โฮม จำนวน 322 ยูนิต บนพื้นที่ 31 ไร่ มูลค่าโครงการประมาณ 1,400 ล้านบาท เปิดขายเฟส 1 จำนวน 40 ยูนิต ปัจจุบันมียอดขายแล้ว 70% และ 2.โครงการ พาร์ค รามอินทรา-วงแหวน เป็นโฮมออฟฟิศ 4 ชั้น จำนวน 22 ยูนิต บนที่ดิน 3 ไร่ มูลค่าโครงการ 180 ล้านบาท ราคาขายเฉลี่ยจะอยู่ที่ประมาณ 6.5 ล้านบาทต่อยูนิต ปัจจุบันมียอดขายแล้ว 1 ใน 4 ของจำนวนยูนิตทั้งหมด

“ปัจจุบันโครงการแนวราบยังเติบโตอย่างต่อเนื่อง เห็นได้จากยอดขายที่เพิ่มขึ้น ส่วนแนวโน้มดอกเบี้ยที่จะปรับขึ้น จะมีผลกระทบกับสินค้าในระดับกลาง-บนน้อย แต่จะมีผลกระทบกับสินค้าในระดับกลาง-ล่างมาก เนื่องจากเป็นการลดกำลังซื้อของผู้ปริโภคลง” นายกิตติพล กล่าว

นายกิตติพล กล่าวอีกว่า บริษัทยังมีแผนเพิ่มพอร์ตสินค้า ประเภทบ้านแพง (ระดับราคาที่ 20 ล้านบาทต่อยูนิตขึ้นไป) ซึ่งปัจจุบันมีความต้องการอย่างต่อเนื่อง และมีกำลังซื้อที่ดี ซึ่งบริษัทมองว่าเป็นตลาดที่น่าสนใจมาก โดยพัฒนาโครงการประมาณ 30-40 ยูนิตต่อโครงการ ซึ่งปัจจุบันอยู่ระหว่างการมองหาที่ในเมือง

Back to top button